คมคิดเซียนหุ้น 2 วัย 2 สไตล์ลงทุน โชว์จัดพอร์ตครึ่งปีหลังรับมือหุ้นผันผวน

หุ้นไทย
ภาพ pixabay

หลังผ่านครึ่งทางของปี 2564 มาแล้ว นักลงทุนหลายคนเริ่มประมวลผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนตัวเอง และเตรียมแผนการลงทุนรอบใหม่ในครึ่งปีที่เหลือ ซึ่งถือว่ายังมีความท้าทายอยู่มาก

เพราะตลาดทุนไทยขณะนี้อยู่ท่ามกลางปัจจัยลบกดดันหนักจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวัน และอัตราการเสียชีวิตที่พุ่งขึ้น ส่งผลกดดันอัพไซด์ดัชนีSET index ไม่ไปไหนไกล

สถานการณ์เช่นนี้จะลงทุนอย่างไรคงต้องให้ผู้ที่เชี่ยวชาญการลงทุนเป็นผู้แนะนำ โดย “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ 2 กูรู 2 วัยที่มีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจ

               

เริ่มจาก “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor : VI) ที่ฉายภาพว่า ช่วงครึ่งปีหลังนี้ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอยู่กับแผนการจัดการการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลไทยว่าจะทำให้เปิดประเทศได้มากน้อยแค่ไหน

ตลอดจนพัฒนาการการระบาดของโควิดทั่วโลก ซึ่งนาทีนี้ทั่วโลกถือว่าปรับตัวดีไปเกือบหมดแล้ว ยกเว้นไทยยังมีปัญหาค่อนข้างมาก

ดังนั้น ต้องบาลานซ์ 2 ส่วนด้วยกันระหว่างพัฒนาการของโลกดีขึ้น ซึ่งไทยได้อานิสงส์ส่งออก แต่ขณะเดียวกัน ต้องดูด้วยว่าถ้าสถานการณ์โควิดของไทยไม่ดีขึ้น หรือช้ากว่าที่ควรจะเป็นมากหรือสถานการณ์ท่องเที่ยวโอกาสกลับมายังไม่ชัดเจน จะต้องเตรียมแผนอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ไทยติดปัญหาการบริหารจัดการที่เกิดความผิดพลาดในช่วงแรกที่ไม่ไปจองซื้อวัคซีนให้เพียงพอ

อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าเมื่อโลกมีพัฒนาการที่ดีไปหมดแล้ว วัคซีนจะเหลือ ถึงเวลานั้นสามารถจะซื้อเข้ามาเพิ่มได้ ซึ่งเชื่อว่ายังไงก็จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ที่จะเริ่มเห็นว่าประเทศไหนอยากได้วัคซีนกี่โดสก็จัดสรรให้ได้ แม้กระทั่งการฉีดเข็มที่ 3 แต่ต้องเป็นวัคซีนที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้จริง

“ผมก็เชื่อว่าตลาดหุ้นจะมีสักวันก่อนสิ้นปีที่มีจังหวะกลับมาสดใสได้ ถ้าถึงตอนนั้นการท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตแซนด์บอกซ์ไม่น่าจะถอยหลังกลับ แต่ตอนนี้เราไม่รู้หรอกว่าเปิดประเทศไปแล้วอาจจะต้องกลับมาล็อกดาวน์ใหม่หรือไม่

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ยังมีความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยไปไหนไกล ยังกลัวว่าจะคุมการระบาดไม่อยู่ และทำให้การเปิดประเทศล่าช้าออกไปอีก” ดร.นิเวศน์กล่าว

“ดร.นิเวศน์” บอกอีกว่า หากมองตามทฤษฎีข้างต้น คิดว่าภายใน 6 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาสดใส ดังนั้น ตอนนี้ต้องเริ่มลงทุนตามพอร์ตและความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ โดยเฟ้นหาหุ้นที่คิดว่าแข็งแกร่งและจะกลับมาได้ เช่น มีความเป็นผู้นำ, สินค้าไม่ล้าสมัย,ไม่ถูกดิสรัปต์โดยเทคโนโลยี จากนั้นเริ่มทยอยเก็บเข้าพอร์ตโดยไม่ต้องสนใจว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร

“สำหรับผมลงทุนในหุ้น 100% แยกเป็นหุ้นไทย 80% และอีก 20% ลงทุนหุ้นเวียดนาม โดยหุ้นไทยเน้นลงทุนใน 5-6 ตัวใหญ่ ๆ ในหลายเซ็กเตอร์ที่อนาคตเติบโตดี เช่น พลังงาน, แบงก์, สื่อสาร, พาณิชย์ ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลตอบแทนหุ้นไทยถือว่ายังบวกแต่แพ้ตลาด แต่ผลตอบแทนหุ้นเวียดนามโตดี 10%” ดร.นิเวศน์กล่าว

กูรูหุ้น VI บอกด้วยว่า สำหรับความคาดหวังผลตอบแทนหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องด้วยตนลงทุนหุ้นตัวใหญ่โอกาสรีเทิร์นจะกลับมาดีมาก ๆ น่าจะยาก เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้น ซึ่งหุ้นหลักของประเทศจะล้อไปกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ดังนั้น ตนจึงแค่ประคองตัวไปก่อนจนกว่าเริ่ม take off ได้

“ตอนนี้ประเทศไทยติดหล่ม เราก็หวังว่าวันหนึ่งจะขึ้นจากหล่มได้ ถ้าจะเล่นหุ้นไทยวันนี้ต้องเล่นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ แล้วไล่ลากขึ้นไป แต่ไม่ใช่สไตล์ของผมเพราะผมเป็นนักลงทุน VI แต่ก็เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเกิดแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์และหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้น

ภายในสิ้นปีนี้ผมคิดว่า SET index ต้องกลับไปเท่ากับก่อนโควิดที่ระดับ 1,600 จุด ต่อจากนั้นจะเป็นอีกสเต็ป คือ ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ (all time high) บริเวณ 1,800 จุด ในช่วงปี 2565” กูรูรุ่นใหญ่กล่าว

ด้าน “เจษฎา สุขทิศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA Group ที่ถือเป็นกูรูหุ้นรุ่นใหม่มองว่า ครึ่งปีหลังหุ้นเทคโนโลยีจะกลับมา และหุ้นวัฏจักรจะยัง perform แต่สู้ตระกูลหุ้นเทคฯไม่ได้ ถ้าดูไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมากลุ่ม big tech company รายได้ยังโตเป็นหลัก 30% ซึ่งสูงมาก ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วควรจะเป็นกลุ่มหุ้น mid-small cap

ดังนั้น ธีมลงทุนหลักในระยะยาวจะเป็นดังนี้ 1.หุ้นเติบโต (growth stock) tech company ที่มีแนวโน้มรายได้กำไรโตดี 2.กลุ่มที่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) จะได้เปรียบชัดเจน และประเทศที่ฉีดวัคซีนได้ช้าจะลำบาก

เพราะฉะนั้น อเมริกาและยุโรปจะได้เปรียบ ขณะที่ญี่ปุ่น, เอเชีย, กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) จะเสียเปรียบในธีมนี้

ซีอีโอ “FINNOMENA Group” บอกว่า ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกโตได้เกือบ 10% ส่วนใหญ่เป็นหุ้นวัฏจักร แต่หุ้น growth อาทิ หุ้นเทคฯ, หุ้นพลังงานทางเลือก, หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า, หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ไม่ค่อยมี

ส่วนครึ่งปีหลังหุ้นไทยค่อนข้างเหนื่อย แถมการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ก็อยู่ในกลุ่มเสียเปรียบ ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวกกับมูลค่าหุ้น (valuation) อยู่ในแดนสูง ไม่น่าจะสดใสนัก การลงทุนจึงควรเน้นกระจายไปตลาดหุ้นโลกในกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโต และกลุ่มประเทศที่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้แล้วน่าจะเหมาะสมกว่า

“ถ้าพอร์ตลงทุนกลาง ๆ ลงทุนหุ้น 60% หุ้นไทยไม่ควรเกิน 10% ของพอร์ต ส่วนอีก 50% ลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่ม growth และประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป เป็นต้น ส่วนตราสารอื่น ๆ 40% เน้นลงทุนหุ้นกู้ 10-15% ทองคำ 10% พร็อพเพอร์ตี้และรีทของโลก 10% คริปโทเคอร์เรนซี 5% ส่วนพันธบัตรให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด ไม่ค่อยแนะนำ” นายเจษฎากล่าว

ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของกูรูการลงทุนที่มีความแตกต่างกันทั้งวัยและสไตล์การลงทุน ซึ่งแต่ละสไตล์ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ นักลงทุนต้องลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของตัวเอง และติดตามข่าวสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด