ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้โควิดเร่งเม็ดเงินใช้จ่าย Health Tech ในไทยโตเร็ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้โควิด-19 เร่งเม็ดเงินในการใช้จ่าย Health Tech ในไทยโตเร็ว

วันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมาธุรกิจสุขภาพและสถานพยาบาลได้ปรับตัวเพื่อตอบกระแสการดูแลสุขภาพแบบป้องกัน (Preventive Healthcare) ควบคู่ไปกับการรักษาโรค รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ของไทยในปี 2565 ที่จะมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมกว่า 14 ล้านคน ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

โดยรูปแบบธุรกิจจะเปลี่ยนจากการรักษาโรคและดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก ไปสู่การดูแลสุขภาพแบบครบวงจร โดย Health Tech ได้เข้ามามีบทบาทเพื่อตอบสนองความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นดังกล่าว อีกทั้งสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ก็เร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้นในการช่วยลดความเสี่ยงและยกระดับการบริการ

Health Tech เริ่มมีการนำมาใช้ในไทยบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ทั้งในส่วนของการนำมาใช้สำหรับภาคธุรกิจ (B2B) และการใช้งานของผู้บริโภคโดยตรง (B2C) โดยที่ผ่านมาตลาดผู้ใช้งาน Health Tech ในไทยส่วนใหญ่ยังเป็นภาคธุรกิจในรูปแบบ B2B มากกว่าการใช้งานของผู้บริโภคแบบ B2C โดยเฉพาะการใช้ในธุรกิจโรงพยาบาลและบริการสุขภาพรายใหญ่ ในขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพ ประกอบกับการระบาดของโควิด-19 ก็เร่งให้มีความต้องการด้านบริการสุขภาพและดูแลป้องกันโรคมากขึ้นด้วย

การใช้ Health Tech ของภาคธุรกิจ (B2B) ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สำหรับการจัดการภายในองค์กรและยกระดับการบริการ เช่น ระบบจัดการข้อมูลผู้ป่วย ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล หุ่นยนต์บริการดูแลผู้ป่วย โดยการลงทุนของภาคธุกิจใน Health Tech ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่ เนื่องจากมีศักยภาพและความพร้อมในการลงทุน รวมถึงความคุ้มค่าในการใช้งานในระยะยาวมากกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม

ในขณะที่ตลาดผู้ใช้งาน Health Tech แบบ B2C พบว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำกิจกรรมสุขภาพมากขึ้น และมีการใช้แอปพลิเคชั่นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน พร้อมกับอุปกรณ์ตรวจวัดข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ เช่น สมาร์ทวอช หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 30-39 ปี เป็นกลุ่มที่มีความถี่และค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Health Tech มากที่สุด

อาทิ คลาสออกกำลังกายออนไลน์ และปรึกษาแพทย์ทางไกล ถึงแม้ที่ผ่านมาการใช้งาน Health Tech อาจยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่ในช่วงโควิด-19 ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามการแพร่ระบาด ประเมินอาการเบื้องต้น รวมถึงลงทะเบียนรับวัคซีน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความคุ้นเคยการใช้งานแอปพลิเคชั่นและระบบสุขภาพออนไลน์มากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เม็ดเงินการใช้จ่ายสำหรับ Health Tech ในไทยปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาท และคาดว่าในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ตลาด Health Tech ของไทยน่าจะเติบโตได้ในช่วง 10-12% (CAGR) เป็นผลจากความต้องการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยมูลค่าตลาดส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ B2B ผ่านการให้บริการของสถานพยาบาลและธุรกิจสุขภาพนำโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพในการลงทุน มีสัดส่วน 65-75% ของมูลค่าตลาดรวม มากกว่าตลาดแบบ B2C

เช่น แอปพลิเคชั่นสุขภาพบนมือถือ เนื่องจากธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการได้จำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยในการลงทุน Health Tech ที่สูงกว่า ในอีกทางหนึ่ง ก็แสดงถึงโอกาสในการเข้าถึงตลาด B2C สำหรับผู้เล่นระดับรองลงมา ทั้งผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นหรือผู้ให้บริการสุขภาพที่นำ Health Tech มาใช้เป็นจุดขาย ที่จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าสำคัญอย่างวัยทำงานที่มีกำลังซื้อและสนใจทดลองใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ

โดยการใช้งานในภาคธุรกิจจะขยายจากการใช้งานในโรงพยาบาลไปสู่บริการสุขภาพอื่น ๆ โดยเฉพาะธุรกิจ Nursing Home และ Retirement Community ที่มีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า 2,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้สามารถดูแลผู้รับบริการได้ทั่วถึงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และการพัฒนาการให้บริการ Health Tech ของไทย น่าจะอยู่ในรูปแบบความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการรายเดิมในธุรกิจสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีรายย่อยหรือสตาร์ตอัพ ในการขยายตลาด Health Tech ในไทย

โดยเฉพาะการขยายการใช้งานในธุรกิจบริการสุขภาพนอกสถานพยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์ที่บ้าน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย ความแม่นยำ และบุคลากรที่ได้รับการรับรอง เพื่อให้สร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการ

ในขณะที่ความต้องการใช้งานของผู้บริโภคคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยความตระหนักด้านสุขภาพของผู้บริโภค แต่สถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวะคนตกงานและขาดรายได้ในระยะนี้ ดังนั้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Health Tech ก็จะเป็นกลุ่มที่อาจยังมีกำลังซื้อในการใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มเติมใน 3 กลุ่มหลัก คือ

1) กลุ่มผู้สูงอายุระยะต้น อายุ 60-69 ปี ที่มีสัดส่วนมากที่สุดในจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจจะยังสามารถดูแลตนเองได้และยังต้องการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้มีความต้องการซื้อสินค้าและใช้บริการที่ใกล้เคียงกับวัยทำงาน แต่ปรับเปลี่ยนให้มีความสะดวกสบาย ปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยีที่ใช้ได้ง่ายมาช่วยในการบริการ

2) กลุ่มวัยทำงานที่อาศัยอยู่กับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย ซึ่งอาจไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลด้วยตนเอง ทำให้บริการและเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง เชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาให้สามารถติดตามกิจกรรมผู้สูงอายุจากระยะไกลได้

3) วัยทำงานมีแนวโน้มทำกิจกรรมสุขภาพมากขึ้น เป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยในการใช้งานและสนใจทดลองใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ และมักจะใช้งานอุปกรณ์บันทึกข้อมูลสุขภาพหรือใช้บริการสุขภาพ/ออกกำลังกายผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากมีความสะดวกในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน อุปกรณ์ออกกำลังกาย รวมถึงแอปพลิเคชั่นวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจะต้องพิจารณาปัจจัยกำลังซื้อและการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ตรงจุด สำหรับตลาดกำลังซื้อปานกลาง จะเน้นการเข้าถึงการใช้งานของคนส่วนใหญ่ เน้นฟังก์ชั่นพื้นฐานที่ใช้งานง่าย และผู้บริโภคกว่า 48% ของกลุ่มตัวอย่าง ยังคงใช้บริการ Health Tech เฉพาะฟังก์ชั่นที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมไปกับการให้บริการของสถานพยาบาล

ในขณะที่ตลาดกำลังซื้อสูง มีความเต็มใจที่จะจ่ายสูงกว่า แต่ต้องการฟังก์ชั่นและบริการแบบ 1:1 ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น ซึ่งสะท้อนด้วยว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้มีโอกาสในการเข้าถึงและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า แต่บริการที่มีค่าใช้จ่ายสูงก็ยังเป็นการรับบริการรักษาโรคที่มีความจำเป็นอย่าง Telemedicine หรือการให้คำปรึกษาสุขภาพ มากกว่าบริการสุขภาพทั่วไปที่ผู้บริโภคอาจมีทางเลือกที่หลากหลายมากกว่า นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้ Health Tech มากขึ้น ยังมีประเด็นด้านความน่าเชื่อถือ ถูกต้องแม่นยำ รวมถึงมาตรฐานในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลด้วย