จับตาอินเดียเผย ศักยภาพทางเศรษฐกิจ

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก

โดย แพรนจัล บันดารี ธนาคารเอชเอสบีซี

อินเดียจะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกรายต่อไปได้หรือไม่ ? ภายหลังจากที่เริ่มต้นผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะนี้อินเดียได้มาถึงจุดเปลี่ยน

อินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรอินเดียทั้งหมด 1.3 พันล้านคน เป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสัดส่วนกำลังแรงงานคิดเป็นร้อยละ 18 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของโลก และภายในปี 2568 ชาวอินเดียราว 550 ล้านคน จะถูกจัดให้เป็นชนชั้นกลาง การปฏิรูปหลายด้านของอินเดียเมื่อไม่นานมานี้จะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้ภายใน 1 ทศวรรษ

ในอดีตการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียทั้งปีซบเซาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ก่อนที่การปฏิรูปด้วยการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2534 ทำให้อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทว่าในแต่ละครั้งที่พยายามผลักให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น อินเดียกลับต้องสะดุดกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนแอ หรือความไร้เสถียรภาพในภาพรวม เช่น อัตราเงินเฟ้อสูง หรือการขาดดุลงบประมาณและขาดดุลการค้าที่สูงมาก

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้อาจไม่เหมือนกับที่แล้ว ๆ มา ด้วยเหตุว่าประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ ๆ หลายประเทศเผชิญกับปัญหาโครงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำลง New India หรือ “อินเดียใหม่” จึงจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

ภาคอุตสาหกรรมไอทีที่มีความซับซ้อน ซึ่งเป็นภาคธุรกิจส่งออกที่ขึ้นชื่อที่สุดของอินเดีย กำลังพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยหนุนจากระบบอัตโนมัติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น การเคลื่อนย้ายแรงงาน การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ และบริการ cloud computing โดยธุรกิจ startup ที่อาศัยเทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนธุรกิจในแวดวงต่าง ๆ ทั้งวงการการศึกษา เทคโนโลยีชีวภาพ และสุขภาพ กำลังเป็นที่สนใจของหนุ่มสาวอินเดียที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการ

อินเดียยังมีสัดส่วนการใช้งานอินเทอร์เน็ตต่อจำนวนประชากร การซื้อสินค้าออนไลน์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ล้าหลังจีนอยู่ถึง 7 ปี แต่ก็มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วจากความนิยมในการชำระเงินแบบดิจิทัล และการใช้สมาร์ทโฟนของผู้บริโภคหนุ่มสาว

หลายประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถส่งออกสินค้าไปเจาะกลุ่มผู้บริโภคหนุ่มสาวอินเดียที่กำลังขยายตัว แต่การปฏิรูปเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้บ่งบอกว่า การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและสินแร่เหล็ก และเครื่องจักรกลจะเพิ่มขึ้นด้วย จากการที่วัฏจักรการลงทุนของอินเดียฟื้นกลับมา นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาพรวมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกำลังนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น อินเดียใหม่จะมีผลกระทบต่อบริษัทจำนวนมาก และหลายประเทศทั่วโลก

ขณะนี้อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก แต่มีสัดส่วนจีดีพีคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 3 ของจีดีพีโลก และมีจีดีพีต่อหัวของประชากรตามหลังจีนอยู่ถึง 15 ปี

อย่างไรก็ตาม อินเดียสามารถเรียนรู้และใช้จีนเป็นกรณีศึกษา การปฏิรูปทั้งภาคเศรษฐกิจและภาคสังคม การเพิ่มห่วงโซ่มูลค่าการผลิต การใช้ประโยชน์จากการปันผลทางประชากร (demographic dividend) และการลงทุนในต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนตระหนักดี แต่เราคาดว่าแนวนโยบายของอินเดียจะแตกต่างออกไป ขณะที่จีนใช้ภาคส่งออกเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มจะมุ่งเน้นอุปสงค์ในประเทศ

การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันที่เกิดจากการปฏิรูป เช่น การจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการแบบใหม่ สะท้อนว่าปีนี้เราจะไม่ได้เห็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ร้อยละ 7.1 เช่นปีที่แล้วอีก แต่จะมีลักษณะของการฟื้นตัวอย่างมั่นคง ซึ่งบ่งชี้ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อินเดียมีโอกาสขยับขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แซงหน้าเยอรมนี และญี่ปุ่น วัดจากจีดีพีปีปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามเพื่อให้แน่ใจว่า การเริ่มต้นครั้งนี้จะไม่ผิดพลาดอีก อินเดียยังมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เช่น การเอื้อให้เกิดความง่ายในการประกอบธุรกิจ การสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินธนาคาร และการลงทุนอย่างมโหฬารด้านโครงสร้างพื้นฐาน และแม้ว่าอินเดียจะมีสัดส่วนคิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกสินค้าไอทีรวมของโลก แต่สัดส่วนการส่งออกสินค้าของอินเดียไปทั่วโลกคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 2 เท่านั้น อินเดียจำเป็นต้องลดการพึ่งพาภาคบริการให้น้อยลง และปรับปรุงประสิทธิภาพของภาคการผลิตที่ตกต่ำจากการขาดการปฏิรูปที่จริงจังเป็นเวลานานหลายสิบปี