KKP ลุยสินเชื่อมีหลักประกันโต 8-12% คุมเสี่ยงพิษโควิด กดหนี้เสียทั้งปีไม่เกิน 4%

เงินบาท

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร-KKP เดินหน้าปล่อยสินเชื่อโต 8-12% เน้นสินเชื่อมีหลักประกันลดความเสี่ยงพอร์ต รุกเช่าซื้อ-สินเชื่อบ้านต่อเนื่อง เผยลูกค้ารายใหญ่ยังโตดี พร้อมเร่งตั้งสำรองรับความเสี่ยงโควิด-19 รับหนี้เอ็นพีแอลขยับขึ้นไม่เกินกรอบ 4% พร้อมโชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรกแข็งแกร่งธุรกิจธนาคารพาณิชย์-ธุรกิจตลาดทุน

วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในระยะที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดว่าส่งผลกระทบไม่สม่ำเสมอกันสำหรับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม กลุ่มธุรกิจจึงยังตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อรวมแบบระมัดระวัง โดยยังคงเน้นการเติบโตในกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกัน เนื่องจากมีผลกระทบน้อยกว่าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน และธุรกิจรายใหญ่ที่ยังเห็นการเติบโตและออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเป้าหมายการเติบโตภาพรวมจะอยู่ที่ 8-12%

ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรโดยรวมในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีความแข็งแรงจากแหล่งที่มารายได้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะธุรกิจตลาดทุนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มากเท่าภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นมาตรการเชิงป้องกันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในอนาคต ธนาคารจึงยังคงตั้งสำรองอยู่ในระดับที่สูง โดยสำหรับไตรมาส 2/2564 เป็นจำนวน 1,378 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ได้มีการพิจารณาตั้งสำรองพิเศษ (Management Overlay) รวมอยู่ด้วย

“ในครึ่งปีแรกเราทำได้ดี กลุ่มสินเชื่อที่ยังให้ได้อยู่ก็ยังมี โดยเป้าหมาย 8-12% ตอนนี้เราทำได้เกือบ 7% แต่ต้องยอมรับว่าการเติบโตสินเชื่อส่วนหนึ่งมาจากการพักหนี้ให้ลูกค้าด้วย ทำให้ยอดคงค้างลดลงช้า ขณะที่เอ็นพีแอลทำได้ดีจากเดิมคาดอยู่ที่ 4.5% ผลออกมา 3.4% จึงขยับเพดานกรอบมาอยู่ที่ 4% ถือว่าท้าทาย และสถานการณ์คงเป็นขาขึ้น ซึ่งสำรองเผื่อไว้มีโอกาสได้ใช้ตามเหตุการณ์”

ด้านนายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด-19 การรักษาการเติบโตในสินเชื่อยังคงเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพและมีความสามารถที่จะชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาอัตราผลตอบแทนของพอร์ตสินเชื่อรวมให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดังนั้น กลยุทธ์ด้านสินเชื่อของธนาคารคือการเติบโตแบบระมัดระวังในกลุ่มที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิต และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเน้นการเติบโตสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน โดยในช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อรายย่อยขยายตัวแล้ว 9.5% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นหลัก โดยธนาคารตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อเช่าซื้อทั้งปีอยู่ที่ 12% อย่างไรก็ดี จะเห็นว่ายอดขายรถยนต์ใหม่คงต่ำกว่า 7.4 แสนคันตามที่ตลาดประเมินไว้ ขณะที่รถยนต์มือสองราคายังคงดีอยู่ และเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดี

อย่างไรก็ตาม นอกจากการเติบโตสินเชื่อสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างมาก ก็คือการให้ความช่วยเหลือกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ไม่ว่าสินเชื่อรายย่อย หรือสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะภายใต้สมมติฐานว่าสถานการณ์อาจดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้ข้อมูลการชำระหนี้ของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาออกแบบมาตรการช่วยเหลือที่ตอบโจทย์ที่สุด โดยปัจจุบัน ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในทุกประเภทสินเชื่อคิดเป็นกว่า 40% ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร

นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 ว่ากลุ่มธุรกิจมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากครึ่งปีแรก 2563 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 936 ล้านบาท ในส่วนของ ปริมาณการตั้งสำรองสำหรับปี 2564 มีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 160.1%

นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 7,624 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 6.6% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 3,726 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากครึ่งปีแรก 2563 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ร้อยละ 17.89 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับ 13.51%