เมย์แบงก์ ชี้กระแส ESG มาแรง ดันธุรกิจ EV CAR โตแรง

บมจ.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ชี้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมทำให้กระแส ESG ดันธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าโตต่อเนื่อง ในหลายประเทศเตรียมขายเฉพาะ Ev car 100% ภายในปี 2593 ส่วนไทยเริ่มมีการกำหนดเป้าหมายจะมี EV Car สัดส่วน 30% ของยอดขายภายในปี 2573

วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานสัมมนา Invest ASEAN 2021 ในหัวข้อ ทำไมต้อง EV Car ? (The Rise of ASEAN EV) ได้กล่าวว่า เหตุผลหลักมาจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน และประเด็นด้าน ESG ที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV car) เข้ามาตอบโจทย์ด้วยตลอดกระบวนการผลิตและใช้งานจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบกับรถยนต์สันดาป (Internal Combustion Engine : ICE car) กว่า 40% ทำให้เราเห็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของ EV car อยู่ในระดับมากกว่า 30% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับสูงต่อจากการเพิ่งอยู่ในเฟสเริ่มต้น

ทั้งนี้ในแต่ละประเทศเริ่มมีนโยบายสนับสนุนอย่างชัดเจนมากขึ้น อาทิเช่น ประเทศเดนมาร์ก, ไอแลนด์, สวีเดน, สิงคโปร์ มีแผนให้จะขายเฉพาะ Ev car 100% ในประเทศภายในปี 2573  และประเทศอังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น ภายในปี 2578-2583 และประเทศแคนาดา,นอว์เวย์ เกาหลีใต้ ภายในปี 2593 เป็นต้น (Source : IEA)

โดยเหตุผลสำคัญที่จะทำให้ EV Car เกิดได้ในแต่ละประเทศ แบ่งได้ดังนี้ 1) ความคุ้มค่า โดยจากการคาดการณ์ของ BloombergNEF EV car จะลงไปมีราคาเทียบเท่า ICE car แบบไม่รวมการสนับสนุนจากภาครัฐได้ภายในปี 2569 จากเทคโนโลยีที่พัฒนาลดต้นทุนแบตเตอรี่ และการขยายกำลังการผลิตได้ Economy of scale ของเหล่าผู้ผลิต ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้า 2) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยมีส่วนที่สำคัญที่สุดคือ แท่นชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นตัวแปรหลักสำคัญพอๆกับความคุ้มค่าด้านราคา

โดยคาดว่ากว่า 80% ของดีมานด์การใช้จะอยู่ที่บ้าน, ห้าง และออฟฟิศที่ทำงาน และอีก 20% คือแท่นชาร์จระหว่างทางสำหรับการเดินทางไกล 3) รัฐบาลต้องสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย หรือ ภาษี จะเป็นตัวเร่งสำคัญให้เกิดการลงทุนพัฒนาให้ภาคเอกชน รวมถึงการสนับสนุนหรือตั้งกำแพงกับการนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคในประเทศ

ในขณะกลุ่มประเทศอาเซียนเองนอกจากสิงคโปร์ ยังไม่เห็นการ Subsidy ที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐมากนัก และการไม่ได้มีเทคโนโลยี หรือฐานผลิตครบห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) เป็นของตัวเอง คาดทำให้เกิดการยอมรับเอาผลิตภัณฑ์ใหม่มาใช้ (Adoption) ได้ช้ากว่ากลุ่มประเทศตะวันตก โดยการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีจะเริ่มจากภาคธุรกิจ หรือ ระดับชั้นดีเยี่ยม (Hi-End) ที่มีราคาสูงก่อนทยอยลงมาสู่การใช้งานระดับตลาด (Mass)

ขณะที่ในประเทศไทยเองเริ่มมีการกำหนดเป้าหมายจะมี EV Car 30% ของยอดขายภายในปี 2573 แต่การเป็นฐานผลิตยานยนต์สันดาปที่ผูกแน่นกับบริษัทรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่ยังไม่ลงทุนในเทคโนโลยี EV อย่างเต็มตัว ถือเป็นความท้าทายที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งปรับตัว ก่อนจะเป็นประเทศที่ถูกทิ้งจากธีม Disruption ของโลก