ทิสโก้ ชี้หุ้นไทยซึมต่อ แนวรับสำคัญเดือน ส.ค.อยู่ที่ 1,500-1,510 จุด

เงินบาท-หุ้นไทย

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงถดถอย 2 ปีซ้อน! บล.ทิสโก้  ชี้หุ้นไทยซึมต่อ แนวรับสำคัญเดือน ส.ค.อยู่ที่ 1,500-1,510 จุด

วันที่ 2 สิงหาคม 2564 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การระบาดในประเทศและการใช้มาตรการล็อกดาวน์ส่อแววยืดเยื้อ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังพุ่งขึ้นไม่หยุด ล่าสุดทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.8 หมื่นคนต่อวัน สร้างความกังวลมากขึ้นต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยนั้น

โดยในกรณีฐาน (Base Case) บล.ทิสโก้ประเมินว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1.5-1.8 หมื่นคนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนที่จะทรงตัวในช่วงกลางเดือนสิงหาคม และเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวลดลงในช่วงปลายเดือนสิงหาคมส่งผลให้มาตรการล็อกดาวน์น่าจะเริ่มผ่อนคลายได้บางส่วนในเดือนกันยายนเป็นต้นไป  หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะไม่เติบโต หรือ +0% และคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,500-1,510 จุด

แต่ในกรณีแย่ (Worst Case) หากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทะลุหลัก 20,000 คนต่อวัน และมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อกินเวลานานจนถึงเดือนกันยายน มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยถดถอย 2 ปีซ้อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยจะมีโอกาสสูงที่จะปรับตัวหลุดระดับ 1,500 จุด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีใด ๆ จะต้องติดตามการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงได้  

สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/2564 จากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 164 บริษัท (คิดเป็น 82% ของมูลค่าตลาดรวม, ข้อมูล ณ วันที่ 30 กรกฎาคม) คาดว่าบริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรสุทธิรวม 2.02 แสนล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่อ่อนตัว -8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  การเติบโตก้าวกระโดด YoY นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ๆ เช่น ENERG, BANK, CONMAT, PETRO และ COMM จากฐานกำไรที่ต่ำปีที่แล้วจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเพื่อควบคุมการระบาดรอบแรก และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง  

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดมีกำไรเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ คือ FOOD และ AGRI ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัวดีจากการเปิดเศรษฐกิจในต่างประเทศ และราคายางปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้ง HELTH ที่ได้ประโยชน์จากการระบาดทั้งการตรวจหาเชื้อและจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการควบคุมการระบาดรอบ 3 เช่น MEDIA, TRANS และ TOURISM ส่วนใหญ่ยังมีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีอยู่

ภายหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 บล.ทิสโก้คาดว่าจะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนรอบใหม่ เพราะนอกจากจะสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการประกาศล็อกดาวน์แล้ว ยังเป็นผลจากคาดการณ์กำไรของตลาดในช่วงครึ่งปีแรกที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 46% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2564 หรือยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประมาณการทั้งปีนี้ ซึ่งอาจจะดูสูงเกินไปเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน

นายอภิชาติกล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยการเมืองในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ แม้จะเข้มข้นไม่แพ้สถานการณ์ระบาดที่รุนแรงเลย และขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลเกี่ยวกับการควบคุมการระบาดและการบริหารจัดการวัคซีน แต่ บล.ทิสโก้มองว่ายังไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะช่วยกันประคับประคองให้ภารกิจสำคัญสำเร็จลุล่วงก่อน ทั้งสถานการณ์ระบาดที่ควบคุมได้, ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในเดือน ก.ย. และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ซึ่งในประเด็นหลังอาจต้องใช้เวลาจนถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย เพราะนอกจากจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ด้วย 

โดยสรุปบล.ทิสโก้มองว่าดัชนีหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมยังมีแนวโน้มแกว่งซิกแซ็กลงไม่เปลี่ยนแปลง แนะนำกลยุทธ์การทยอยรับแบบ “แบ่งไม้ซื้อ” ให้ความสำคัญที่บริเวณ 1,500-1,510 จุด และในกรณีแย่อาจได้ซื้อลึกถึง 1,480 จุด  สำหรับประเด็นหุ้นน่าเลือกลงทุนในเดือนนี้จะเน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรจะออกมาดีมีปันผลจ่ายระหว่างกาล หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนสิงหาคม คือ BEC, BJC, HANA, JMT, MAKRO, RJH และ SPALI ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยในเดือนนี้อยู่ที่ 1,500-1,510 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,480 จุด ขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,560 – 1,580 จุด