SET ในเดือนสิงหาคมยังมี Downside

หุ้นไทย ตลาดหุ้น
FILE PHOTO :MANAN VATSYAYANA/AFP
เติมความคิด พิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ
บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ภาพรวม SET ในเดือน ก.ค.ดิ่งลง หลังจากได้รับแรงกดดันจากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนที่ยังไม่ทั่วถึงและขาดแคลน

ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่าช้า นำไปสู่การปรับประมาณการ GDP ปีนี้ลง อีกทั้งกระแสเงินจากนักลงทุนต่างชาติก็ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากภาพของเงินบาทที่อ่อนค่า

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศก็ยังเห็นความผันผวนค่อนข้างมาก ทั้งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดการเงินซึ่งมีผลต่อภาวะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (emerging markets : EM) มากกว่าตลาดการเงินของประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (developed markets : DM)

ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการ lockdown ล้วนแต่ปรับลงหนักในเดือน ก.ค. ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม สื่อ-บันเทิง ขนส่ง รับเหมาก่อสร้าง

ทั้งนี้ ในเดือน ก.ค.ต่างชาติขายสุทธิต่อเป็นเดือนที่ 7 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1 เดือนก่อนหน้าเท่านั้น แต่ 3, 6 และ 12 เดือนก่อนหน้ายังคงแย่กว่า

ในส่วนของประมาณการกำไรปี 2564 ของ SET นั้น consensus (มุมมองตลาด) มีการปรับขึ้น 0.70% เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไต้หวัน ปรับขึ้น 2.48%, 2.20% และ 1.82% ตามลำดับ

ตรงข้ามกับฮ่องกง และฟิลิปปินส์ ที่ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 2.69%, 2.47% และ 0.12% ตามลำดับ

ด้านการรายงานผลการดำเนินงาน จบการรายงานงบฯ 2Q 64 (ไตรมาส 2 ปี 2564) ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์แล้ว ซึ่งภาพรวมมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% YOY (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) และ 9% QOQ (เทียบไตรมาสก่อนหน้า)

ส่วนกําไรสุทธิครึ่งปีหลัง คาดจะลดลง 29% จากครึ่งปีแรก แต่จะเพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หลังจากจบการรายงานผลการดำเนินงานกลุ่มแบงก์แล้ว หลังจากนี้จะเข้าสู่การรายงานงบฯของหุ้น real sector

ซึ่งจากการรวบรวมจากข้อมูลประมาณการของ consensus จนถึงสิ้นเดือน ก.ค. มีการทำ earnings preview แล้วราว 109 บริษัท ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ราว 1.47 แสนล้านบาท

โดยกลุ่มที่คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการ 2Q 64 จะเติบโตโดดเด่น คือ กลุ่มการแพทย์ เดินเรือ

แนวโน้ม SET ในเดือน ส.ค.มองว่ายังกลับมายืนเหนือ 1,600 จุด ได้ยาก โดยมีกรอบบนจำกัดที่ 1,550 และ 1,600 จุด ตามลำดับ เนื่องด้วยตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน เนื่องจากเผชิญปัจจัยกดดันหลักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิค-19 กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน ทำให้ดัชนียังมี downside โดยมีกรอบล่างที่ 1,500 และ 1,470 จุด ตามลำดับ ด้านประเด็นสำคัญ ติดตามประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ Jackson Hole ซึ่งอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น

ด้านกลยุทธ์การลงทุน ยังเน้น selective buy ในหุ้นที่มีกำไรเติบโตดี เพื่อรับมือความเสี่ยงที่ยังสูงขึ้น ได้แก่

1) BDMS ผลประกอบการ 2Q64 จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากบริการที่เกี่ยวกับโควิด-19 รวมถึงยังได้อานิสงส์จากกระจายวัคซีนมากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลในแหล่งท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 14% ของรายได้ ขณะที่ฐานผู้ป่วยกลุ่มประกันสุขภาพภาคเอกชนยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

2) GPSC กำไร 2Q64 จะปรับตัวขึ้น QOQ จากการหยุดซ่อมบำรุงลดลง ต้นทุนก๊าซลดลง และการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า GE เฟส 5 ขณะที่การระบาดของโควิด-19 รอบนี้กระทบต่ออุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมน้อยกว่าปีก่อน

3) RJH แนวโน้มกำไร 2Q64 เติบโต QOQ จากจำนวนผู้เข้าใช้บริการตรวจโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงใน 4Q 64 ยังได้อานิสงส์จากการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก

4) WICE คาดกำไร 2Q-4Q64 ยังเติบโต YOY จากอุปสงค์ขนส่งสินค้าที่เติบโตดีทุกช่องทาง และยังได้ปัจจัยหนุนจากค่าระวางทั้งทางเรือและอากาศที่สูงขึ้น บวกกับธุรกิจ CBS จะได้รับมอบตู้คอนเทนเนอร์ที่เหลืออีก 50% ใน 2Q64

5) PM แม้แนวโน้มกำไร 2Q64 หดตัว QOQ แต่ยังเติบโต YOY จากบริษัทและคู่ค้ามีแผนออกสินค้าใหม่ รวมถึงมีแผนขยายตัวแทนและศูนย์กระจายสินค้า พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์เพื่อคุมต้นทุนการกระจายสินค้า

แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดี