วันนี้ถือเป็นวันแรก ที่สถาบันการคุ้มครองเงินฝาก ปรับลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝากส่วนใหญ่ของประเทศ
วันที่ 11 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันแรกที่สถาบันการคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากมาลงอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน จากเดิมอยู่ที่ 5 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน ตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เปิดไทม์ไลน์ แจกเงิน 10,000 ลงทะเบียนเมื่อไหร่ เงื่อนไขเป็นยังไง
โดยมีวัตถุประสงค์ 2 เรื่องหลัก คือ การรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 และปรับลดวงเงินคุ้มครองแต่อย่างใด
คุ้มครองบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท
สำหรับผู้ที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากนั้น จะเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั้งคนไทยและต่างประเทศที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากรวมทั้งสิ้น 35 แห่ง โดยคุ้มครองบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่
- เงินฝากกระแสรายวัน
- เงินฝากออมทรัพย์
- เงินฝากประจำ
- บัตรเงินฝาก
- ใบรับฝากเงิน
โดยผู้ฝากเงินจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด หากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ดังนั้น ผู้ฝากเงินรายย่อยไม่ต้องตกใจ เนื่องจากการคุ้มครองวงเงินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินปิดกิจการ หรือโดนเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากดูสถานะของสถาบันการเงินในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปี 2540
ทั้งนี้ ผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จะได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติทันทีที่เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งผู้ฝากเงินไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง โดยวงเงินคุ้มครองจะคุ้มครองในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน โดยนำเงินฝาก (เงินต้นและดอกเบี้ย) ของผู้ฝากแต่ละรายในทุกสาขาและทุกบัญชีมาคำนวณรวมกัน
ผลกระทบหลัง สคฝ.ลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบภายหลังจาก สคฝ. ประกาศลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงินนั้น มองว่า ผลกระทบคงไม่มาก คงไม่ได้เห็นการไหลออกของเงินฝากที่อยู่ในสถาบันการเงิน
แม้ว่าเงินฝากจะลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท แต่หากดูตัวเลขเงินฝากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จะได้รับการคุ้มครองในแง่จำนวนบัญชีครอบคลุมถึง 98.3% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด จากปัจจุบันมีอยู่ 109 ล้านบัญชี และครอบคลุมในแง่เม็ดเงิน 21% จากยอดเงินฝากรวมที่มีอยู่ 15.2 ล้านล้านบาท
โดยในจำนวนดังกล่าวมีสัดส่วนเงินฝากที่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 80% หรือคิดเป็นวงเงินฝากอยู่ที่ 12 ล้านล้านบาท และจำนวนบัญชีอยู่ที่ 1.7 ล้านบัญชี ซึ่งในช่วงก่อนโควิด-19 จนถึงปัจจุบันราว 1 ปี จะเห็นว่าเงินฝากที่เกิน 1 ล้านบาทยังมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยมีเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 6.7 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินฝากที่มีต่ำกว่า 1 ล้านบาทไม่เห็นการเติบโต
ด้านนายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เผยว่า วงเงินคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท มีผู้ฝากที่ได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน 82.07 ล้านราย คิดเป็น 98.03% ของผู้ฝากทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ข้อมูลเงินฝาก ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันมีจำนวนทั้งหมด 83.72 ล้านราย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่าจำนวนผู้ฝากเพิ่มขึ้น 1,337,334 ราย หรือเพิ่มขึ้น 1.62% โดยจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผู้ฝากรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้น และเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 15.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 347,940 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.33% จากสิ้นปีก่อน
- ลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้าน กระทบใครบ้าง
-
ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้าน 11 ส.ค.นี้ ครอบคลุม 82 ล้านราย
ธปท.เปิด 3 ความเข้าใจผิด ลดวงเงินเหลือ 1 ล้านบาท
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจง 3 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลดวงเงินคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) จาก 5 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท
ความเข้าใจผิดที่ 1 เงินฝากส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท จะไม่ได้รับคืน
ธปท.ระบุว่ามีสิทธิได้รับคืน โดยเงินฝากที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อสถาบันการเงิน จะได้รับความคุ้มครองทันที ขณะที่เงินฝากส่วนที่เกิน ยังมีสิทธิได้รับคืน แต่ต้องรอการชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นจะได้รับคืนตามลำดับการชำระคืนเจ้าหนี้ตามกฎหมาย
ความเข้าใจผิดที่ 2 ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก เพราะสถาบันการเงินมีปัญหา
ธปท.ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกันการลดวงเงินคุ้มครอง เนื่องจากเป็นไปตามแผนที่กำหนดเดิมของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยตั้งแต่ปี 2551 ได้กําหนดวงเงินคุ้มครองลดลงเป็นขั้นบันไดมาเป็นลำดับ เพื่อให้ประชาชนคุ้นเคยและค่อย ๆ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ดังนี้
- ปี 2551 คุ้มครองเต็มจำนวน
- ปี 2555 คุ้มครอง 50 ล้านบาท
- ปี 2558 คุ้มครอง 25 ล้านบาท
- ปี 2559 คุ้มครอง 15 ล้านบาท
- ปี 2561 คุ้มครอง 10 ล้านบาท
- ปี 2562 คุ้มครอง 5 ล้านบาท
- ปี 2564 คุ้มครอง 1 ล้านบาท
ธปท.อธิบายด้วยว่า เดิมเคยกำหนดจะปรับลดเหลือ 1 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2555 แต่ขยายเวลามาเรื่อย ๆ จากความผันผวนของตลาดเงินทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้กำหนดวงเงินคุ้มครองต่ำกว่านี้แล้ว
ปัจจุบันสถาบันการเงินมีฐานะเข้มแข็ง ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ จากเงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการทางการเงิน และรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยมีเงินกองทุน (BIS ratio) อยู่ที่ 20.04% และสภาพคล่อง (LCR) อยู่ที่ 186.54%
ความเข้าใจผิดที่ 3 การปรับลดวงเงินคุ้มครอง ในช่วงโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ชี้แจงว่า การลดวงเงินไม่กระทบผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ เพราะวงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทนี้ มีผู้ฝากเงินที่ได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน 82 ล้านราย หรือคิดเป็น 98% ของผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองทั้งระบบอยู่แล้ว และ
หากพิจารณาการดำเนินการในลักษณะเดียวกันของต่างประเทศ พบว่า ไม่มีหน่วยงานคุ้มครองเงินฝากปรับเพิ่มวงเงินคุ้มครองในช่วงโควิด-19 ทั้งนี้ จากข้อมูล วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วน 98% และมากกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วนเพียง 2%
- ธปท. เปิด 3 ความเข้าใจผิด ลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท
-
แบงก์รัฐ พร้อมคุ้มครองเงินฝากเต็มวงเงิน ยันไม่ปรับลดความคุ้มครอง