CIMBT หั่นจีดีพีโต 0.4% ห่วงล็อกดาวน์ยืดเยื้อกดเศรษฐกิจทรุด -1.1%

เศรษฐกิจเงียบเหงา

สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เฉือนจีดีพีปี 64 เหลือ 0.4% จาก 1.3% และในปี 65 เหลือ 3.2% จาก 4.2% มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงจากมาตรการล็อกดาวน์-จำนวนผู้ติดเชื้อ หวั่นกระทบส่งออกฉุดจีดีพี -1.1% หนุนรัฐกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทประคองเศรษฐกิจ-เยียวยาผู้ขาดรายได้ พร้อมลดดอกเบี้ย-FIDF

วันที่ 19 สิงหาคม 2564 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากที่สภาพัฒน์รายงานว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสสองขยายตัว 7.5% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือ 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล และคาดทั้งปีขยายตัว 0.7-1.3% หรือเฉลี่ยที่ 1.0%

ทางสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ได้ปรับลดการคาดการณ์ที่ให้ไว้ในเดือนกรกฎาคมที่ 1.3% ลงเหลือ 0.4% ในปี 2564 และ จาก 4.2% เหลือ 3.2% สำหรับปี 2565 แต่หากสถานการณ์การระบาดยืดเยื้อกระทบภาคบริการในประเทศ และส่งผลต่อภาคการผลิตที่อาจลดลงจากปัญหาคนงานติดเชื้อจนทำให้การส่งออกลดลงจากที่คาดแล้ว เศรษฐกิจไทยมีโอกาสติดลบได้ถึง -1.1% ในปีนี้และอาจไม่ขยายตัวเลยในปีหน้า

หากวิเคราะห์เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า จากการระบาดที่รุนแรง ผู้ติดเชื้อรายวันในระดับสูง ซึ่งน่าจะมีผลให้รัฐบาลคงมาตรการเข้มงวดในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลากยาวไปตลอดไตรมาส 3 แม้จะสามารถเปิดกิจกรรมบางส่วนได้มากขึ้นในช่วงไตรมาส 4 แต่ภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวในประเทศยังคงไม่ฟื้นตัว เพราะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวยังต่ำ

ขณะที่การกระจายวัคซีนยังไม่ครบ ไวรัสกลายพันธุ์มีผลให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ประชาชนยังคงกังวลการไปแหล่งชุมชนและเลี่ยงการเดินทาง การบริโภคภาคเอกชนปีนี้มีโอกาสติดลบเทียบปีก่อน พอมีปัจจัยสนับสนุนการบริโภคบ้างคือรายได้ภาคเกษตรขยับตัวดีขึ้นจาก และกำลังซื้อของคนรายได้ระดับกลาง-บน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานภาคการผลิตเพื่อส่งออกและมนุษย์เงินเดือนนอกกลุ่มท่องเที่ยวยังทรงตัว

การส่งออกเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย จากกำลังซื้อตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐ ยุโรป และจีนยังขยายตัวได้ดี ส่งผลให้การส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สินค้าเกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปยังขยายตัว แต่ต้องจับตาปัญหาการระบาดที่ทำให้คนงานติดเชื้อและมีการหยุดการผลิตชั่วคราว ซึ่งมีผลให้กำลังการผลิตลดลงและอาจทำให้การส่งออกชะลอตัวได้ อย่างไรก็ดี ปัญหานี้น่าจะได้รับการแก้ไขได้ด้วยการจำกัดจำนวนแรงงานในพื้นที่และการตรวจเชื้อคนงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการปิดโรงงานในอนาคต

นอกจากนี้ เอกชนยังพร้อมลงทุนด้านเครื่องจักร แต่อาจชะลอการลงทุนด้านการก่อสร้าง ซึ่งอาจเห็นการชะลอของภาคอสังหาริมทรัพย์ใหม่ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม แต่เอกชนน่าจะเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการคนทำงานที่บ้านที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น

ส่วนของมาตรการทางการคลัง รัฐบาลสามารถเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ผ่านการใช้จ่ายและการลงทุนที่มากขึ้น เราเห็นว่าหากจะต้องกู้เพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาทก็ทำได้ เพื่อประคองเศรษฐกิจด้วยการเยียวยาชดเชยผู้ขาดรายได้ และสร้างแรงจูงใจให้แรงงานอิสระอยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อหากต้องไปหารายได้นอกบ้าน แต่การกู้รอบนี้อาจเสริมเศรษฐกิจระยะยาวได้ 2 ทาง คือ

1.คือการวางแผนให้ท้องถิ่นเลือกหาโครงการในการใช้จ่ายเงิน เพื่อสร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่ การกระตุ้นหรือลดค่าใช้จ่ายของคนผ่านมาตรการเติมเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์เมื่อการระบาดลดลง และ 2.คือการใช้มาตรการทางการคลังร่วมกับมาตรการทางการเงินด้วยการที่คลังแบ่งเงินมาเพื่อช่วยแบกรับความเสี่ยงในกรณีสินเชื่อที่ปล่อยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจและครัวเรือนกลายเป็นหนี้เสีย ไม่เช่นนั้น มาตรการทางการเงินผ่านการปล่อยสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจก็ทำได้ช้า จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังสูง

ขณะที่ทาง ธปท. ยังสามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.25% สู่ระดับ 0.25% พร้อมลดเงินนำส่ง FIDF อีก 0.23% เพื่อลดภาระหนี้ และเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจหรือคลายข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ

ด้านค่าเงินบาท มีโอกาสอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐได้อีกในระยะสั้นถึงระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสสามนี้ แต่เมื่อเฟดมีความชัดเจนในการส่งสัญญาณการถอน QE ขณะที่การควบคุมการระบาดในประเทศพร้อม ๆ กับการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาสสี่ ที่สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติและแนวโน้มการท่องเที่ยวในปีหน้า เงินบาทจะมีโอกาสกลับมาแข็งค่าได้ราว 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและน่าจะทยอยแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า