กรุงศรีฯ มองกรอบค่าเงิน 33.15-33.50 บาท จับตาทุนสำรองฮวบรอบ 1 ปี

กรุงศรี-เงินบาท

กรุงศรีฯ คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 33.15-33.50 บาท เผยทุนสำรองลดต่ำรอบกว่า 1 ปี คาด ธปท. เข้าบริหารจัดการเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา

วันที่ 23 สิงหาคม 2564 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (23-27 ส.ค.) ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเงินบาทปิดแข็งค่าเล็กน้อยที่ 33.36 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 33.14-33.47 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ Delta ในหลายภูมิภาคทั่วโลกช่วยหนุนดัชนีดอลลาร์ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 เดือน ขณะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง

นอกจากนี้ รายงานการประชุมเดือนกรกฎาคมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่าจะเริ่มลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ภายในปีนี้ ทางด้านธนาคารกลางนิวซีแลนด์ตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปและรัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ระยะสั้นรอบใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 2,564 ล้านบาท และ 6,016 ล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า นักลงทุนจะรอฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินจากประธานเฟดซึ่งจะบรรยายในงานสัมมนาวิชาการ Jackson Hole Symposium ที่จะจัดขึ้นในลักษณะออนไลน์ช่วงปลายสัปดาห์ โดยตลาดจะพยายามจับสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับจังหวะเวลาและลำดับการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี กรุงศรีคาดว่าเฟดจะแสดงท่าทีที่ระมัดระวังท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดที่กลับมาเร่งตัวอีกครั้งและอาจกระทบต่อแรงส่งของการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ ในภาวะเช่นนี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอาจย่ำฐานจนกว่าจะมีความชัดเจนจากเฟด

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือนกรกฎาคมขยายตัวได้ดีในอัตรา 20.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้ แต่การแพร่ระบาดอาจกระทบภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นต้นไป

ทางด้านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ารัฐบาลควรกู้เงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังประเมินว่าวิกฤติ COVID-19 จะกระทบรายได้ภาคครัวเรือนราว 2.6 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2563-2565 ขณะที่คาดว่าหากมีการกู้เพิ่มดังกล่าวจะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีขึ้นไปสูงสุดที่ 70% ในปี 2567 ก่อนที่จะปรับลงค่อนข้างเร็วตามการเติบโตของเศรษฐกิจ

โดยเน้นย้ำความสำคัญของมาตรการทางการคลัง ส่วนมาตรการทางการเงินมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ และจะเป็นมาตรการเสริมในการช่วยดูแลภาระหนี้และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ ธปท.จะดูแลไม่ให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและไม่ให้ผันผวนเกินไป อนึ่ง กรุงศรีคาดว่าทางการเข้าดูแลค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี