ธปท.ย้ำฐานะแบงก์ไทยแกร่งรับวิกฤต ชี้ เงินกองทุน-สภาพคล่องยังสูง 

เงินบาท

ธปท.เผยฐานะธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 แข็งแกร่ง-เงินกองทุนอยู่ในระดับสูง-สภาพคล่องเพียงพอรับสถานการณ์โควิด-19 พร้อมเป็นกลไกช่วยเหลือลูกค้า ระบุค่าใช้จ่ายกันสำรองลดลง 30% ดันกำไรจากการดำเนินงานโต 3.4% ด้านสินเชื่อขยับลงเล็กน้อยจาก 3.8% เหลือ 3.7% เหตุเทียบฐานปีก่อนรายใหญ่เร่งขอสินเชื่อแทนระดมทุน ส่วนหนี้เอ็นพีแอลทรงตัว 3.09% ผลมาตรการจัดชั้นหนี้ 

วันที่ 23 สิงหาคม 2564 นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2564 ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ยู่ที่ 20.0% หรืออยู่ที่ 3.038 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 152.2%  และและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio : LCR) อยู่ที่ 186.7% สะท้อนความสามารถรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อได้ 

ทั้งนี้ หากดูกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2564 ของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 6.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 72.1%  โดยหลักจากค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบจากการกันสำรองในระดับสูงในปีก่อนที่อยู่ 7.2 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 4 หมื่นล้านบาท ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากรายได้เงินปันผลและรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นสำคัญ หากเทียบกับไตรมาสก่อน 

โดยกำไรสุทธิที่ไม่รวมผลของรายการพิเศษปรับเพิ่มขึ้นจากรายได้เงินปันผลและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ตามรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets : ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.08% แต่หากตัดผลของรายการพิเศษ ROA จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.89% จากไตรมาสก่อนที่ 0.81% 

ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) ทรงตัวอยู่ที่ 2.46% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 2.43%

“ฐานะธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบยังคงแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีก่อน รายได้สุทธิแม้จะติดลบ 2% แต่จากค่าใช้จ่ายจากการกันสำรองลดลง 30% ทำให้ผลการดำเนินปรับเพิ่มขึ้น 3.4% รวมถึง ธปท.พยายามสร้างกันชนให้สถาบันการเงินผ่านการกันสำรองทำให้ธนาคารสำรองส่วนเกินมากเพียงพอช่วยลูกค้าได้”   

สำหรับภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ขยายตัวลดลงเล็กน้อยที่ 3.7% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 จาก 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากสินเชื่อธุรกิจขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.6% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 จากการเร่งใช้สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนในปีก่อน ประกอบกับการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้  ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs ปรับดีขึ้นและขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนในไตรมาสนี้ ส่วนหนึ่งจากผลของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) และสินเชื่อฟื้นฟู

ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวที่ 5.7% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 และปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 5.3% โดยหลักจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงขยายตัวได้ดีตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยแนวราบที่ยังปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ขยายตัวชะลอลง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน ด้านสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวลดลง จากปริมาณการใช้บัตรเครดิตที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนการล็อกดาวน์ ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการสภาพคล่องในภาคครัวเรือน โดยบางส่วนเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อสวัสดิการ

ส่วนคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2564 ยังคงได้รับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non Performing Loan : NPL หรือ stage 3) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.45 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.09% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk : SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 6.34% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 6.42%

นางสาวสุวรรณีกล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากการควบรวมของธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 64 ทำให้ธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการทำธุรกรรมเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินอื่นมากขึ้น รวมทั้งมีการให้บริการทางการเงินที่สำคัญทั้งสินเชื่อ เงินฝาก การโอนเงินชำระเงิน ในปริมาณที่สูงและมีลูกค้าจำนวนมาก ส่งผลให้ธนาคารทหารไทยธนชาตเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (Domestic Systemically Important Banks : D-SIBs) เพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งในปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์  

โดยปัจจุบัน D-SIBs ทุกแห่งมีความมั่นคง เนื่องจากธนาคาร D-SIBs จะต้องมีการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น 1% จากระดับปกติ ซึ่งหากดูเงินกองทุนฯ ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราที่ ธปท. กำหนดและเพียงพอตามมาตรการที่กำหนดในการกำกับดูแล D-SIBs