บัวหลวงจัดพอร์ตลงทุน “หุ้นไทย-หุ้นนอก” Q4 รับเศรษฐกิจหลายประเทศทยอยฟื้น

กองทุน Fund Graph

“บลจ.บัวหลวง” จัดพอร์ตลงทุนไตรมาส 4 รับเศรษฐกิจหลายประเทศทยอยฟื้น แนะลงทุน “หุ้นนอก 70%-หุ้นไทย 30%” รอเปิดเมืองเพิ่มสัดส่วนได้ ชี้เทรนด์เงินทุนต่างชาติโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยน้อยเซ่นพิษโควิด-เร่งฉีดวัคซีน มองเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ 1,605 จุด-ปีหน้า 1,784 จุด 

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเมินครึ่งปีหลังของปี 2564 โอกาสของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยยังคงมีน้อย โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท ทั้งนี้โฟลว์เป็นเงินไหลออกทั้งจากไทย, เกาหลี, ไต้หวัน, จีน และประเทศแถบเอเชีย จะมีแค่เวียดนามเท่านั้นที่ยังมีทิศทางเม็ดเงินไหลเข้า สะท้อนว่ากลุ่มประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนยังคงเผชิญปัญหาโควิดอยู่

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ

ขณะที่การคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ประเมินปีนี้มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.6% โดยกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Market : DM) อาทิ สหรัฐอเมริกาและยุโรปจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด เนื่องจากสามารถกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชากรในประเทศได้ทั่วถึงมากสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตถึง 6.8% และยุโรปเติบโต 4.2%

ขณะที่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Market : EM) จีนจะฟื้นตัวได้ดีสุด มีอัตราเติบโต 8.5% อินโดนีเซียเติบโต 4.4% ขณะที่ไทยเติบโต 2.2% เนื่องจากยังคงมีปัญหาเรื่องการกระจายวัคซีนได้ล่าช้าและเผชิญความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโตน้อย แต่อัตราเงินเฟ้อสูง (Stagflation) และภาคการส่งออกที่ยังถูกกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจึงมีมากและอาจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการฟื้นตัว

โดยบัวหลวงประเมินทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4 แนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตหุ้น 2 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นนอกประเทศที่เติบโตตามเศรษฐกิจโลก (Global growth) สัดส่วน 70% และหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการออกมาตรการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic plays) สัดส่วน 30% ในอนาคตหากสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น อาจจะปรับพอร์ตให้สัดส่วน Domestic plays เพิ่มขึ้นได้อีก แต่ยังคงเน้นไปที่การลงทุนในต่างประเทศเป็นหลักเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าควรให้ความสำคัญแบบไตรมาสต่อไตรมาส แม้ว่าในไตรมาส 3 นี้ จะเห็นผลดำเนินงาน บจ.มีกำไร แต่ยังต้องระมัดระวัง เพราะเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาสจะเห็นว่าทั้งกำไรสุทธิและผลดำเนินงานของ บจ.นั้นลดลง ประกอบกับเรื่องนโยบายทางการเงินจากฝั่งสหรัฐและยุโรปที่จะเริ่มลด QE เพื่อกลับสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้ มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี’64 ไว้ที่ 1,605 จุด และในปีหน้า 2565 อยู่ที่ 1,784 จุด โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งออกอาหาร และการขนส่งของไทย จะได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า และกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็ก และบริษัทขายอุปกรณ์แพทย์สำคัญ ได้ประโยชน์จากการเพิ่มคนไข้โควิด ขณะที่ด้านสถาบันการเงินยังคงได้รับแรงกดดันจากการช่วยเหลือลูกหนี้ร้านอาหาร กิจการพาณิชย์ และโรงแรม

“เราประเมินจากจำนวนประชากรได้ฉีดวัคซีน 2 เข็มขึ้นไป โดยมีความคาดหวังว่าในกลางปี’65 จะได้เห็นตัวเลขการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มของประชากรภายในไทยสูงถึง 50% ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 7.3% รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะกลับมาฟื้นตัว” นายชัยพรกล่าว

ส่วนทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่า ทางนักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารกรุงเทพประเมินสิ้นปีมีความเสี่ยงที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงไปถึง 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากกลุ่มประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนยังคงเผชิญสถานการณ์โควิด จึงมองว่าไทยยังคงใช้นโยบายตึงอัตราดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น