ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันกับนักลงทุนต่างชาติ ทำทุกทางพาเศรษฐกิจไทยพ้นวิกฤต

เศรษฐกิจ-GDP

ผู้ว่าการ ธปท. ชี้เศรษฐกิจไทยกระทบหนัก นานกว่าจะฟื้น-ฟื้นไม่เท่ากัน  แต่โอกาสเกิดวิกฤตรุนแรงมีจำกัด เหตุภาคการเงิน-การคลังสุดแกร่ง ยันแบงก์ชาติพร้อมทำทุกทาง

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ในงาน Thailand Focus 2021 ในหัวหข้อ  From Resiliency to Recovery and Beyond: Central Bank Policies for an Uncertain World ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 


ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะใช้เวลานาน (slow) และไม่เท่ากัน (uneven) ที่ไทยฟื้นตัวช้า เพราะพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าที่สุด และคาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าการกระจายวัคซีนของไทยจะทำได้ครอบคลุมประชากรส่วนมาก ส่วนการฟื้นตัวที่จะไม่เท่ากัน เห็นได้จากกิจกรรมในภาคการส่งออกสินค้าที่ฟื้นกลับมาเหนือระดับก่อนการระบาดของ Covid-19 แล้ว ขณะที่ภาคบริการยังถูกกระทบรุนแรงต่อเนื่อง

“อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนัก แต่เสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทยมีความมั่นคงมาตลอดทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมีจำกัด (limited downside risks)” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

โดยความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย สะท้อนใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเนื่องจากไทยมีหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ ประกอบกับระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังสูงต่อเนื่อง 

2) เสถียรภาพด้านสถาบันการเงิน โดยธนาคารพาณิชย์ยังมีงบการเงินที่เข็มแข็ง ช่วยให้ภาคธนาคารยังสามารถรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ (shock absorber) และ 3) เสถียรภาพด้านการคลังของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยรัฐบาลไทยยังสามารถกู้เงินมาดูแลเศรษฐกิจได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมั่นคง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท. พร้อมที่จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ โดยตั้งแต่การระบาดของ Covid-19 เริ่มต้นขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อเอื้อให้ภาวะการเงินช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีสภาพคล่องที่เพียงพอ 

ที่ผ่านมา แม้สินเชื่อยังขยายตัวได้ในเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ แต่สภาพคล่องในระบบที่สูงยังกระจายตัวได้ไม่ดีพอ ทำให้มีมาตรการด้านสินเชื่อที่ผูกโยงกับการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อให้ธุรกิจและรายย่อย 

นอกจากนี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีสภาพคล่องที่เพียงพอ และสอดคล้องกับวิกฤติที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธปท. ได้ดำเนินมาตรการที่ตรงเป้าหมาย (targeted) และยืดหยุ่น (flexible) มากขึ้นเช่น การออก พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ ที่ปรับปรุงจาก พ.ร.ก. ฉบับก่อนโดยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” สำหรับภาคธุรกิจที่ใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน

“นอกจากมาตรการเพื่อตอบสนองวิกฤติเฉพาะหน้าแล้ว ธปท. ยังมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนมาตรการให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้ยั่งยืนขึ้น เช่น การพักหนี้อาจเหมาะสมในระยะสั้น แต่เป็นภาระลูกหนี้ในระยะยาว ธปท. จึงสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถผ่านพื้นวิกฤติไปได้ด้วยกัน” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว 

ในระยะถัดไป ธปท. ยังคำนึงถึงโลกหลัง Covid-19 ซึ่งบริบทของเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีลักษณะ 

1) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Greener) และ 2) มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น (more Digital) โดยในด้านสิ่งแวดล้อม (green) ธปท. อยู่ระหว่างการผลักดันภาคธนาคารพาณิชย์ให้มีการให้เงินกู้อย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกำลังพัฒนาในเรื่องของมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล (disclosure standards) และการพัฒนาในด้านคำนิยามด้านสิ่งแวดล้อม (green taxonomy) เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติได้โดยเร็ว 

ในขณะที่ด้านดิจิทัล (Digital) ธปท. ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับระบบชำระเงิน เช่น การทำ QR-Code มาตรฐานในการชำระเงิน และระบบพร้อมเพย์ นอกจากนี้ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยีทางการเงินด้วย เช่น การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ระบบการเงินของไทยมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง และเข้าถึงง่ายขึ้น สามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน