สภาพัฒน์ ชี้แนวทางดูแลหลุมรายได้ที่หายไปจากวิกฤตโควิด ต้องมีมาตรการทางการคลังตรงเป้า สร้างรายได้ประชาชน พร้อมดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ระยะยาวปฏิรูปโครงสร้างภาษีหนุนเก็บรายได้เพิ่ม
วันที่ 25 สิงหาคม 2564 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเรื่องหลุมรายได้ที่หายไปจากสถานการณ์โควิดนั้น ต้องเรียนว่าฐานะการคลังของรัฐในช่วงระยะข้างหน้าก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หากความสามารถในการส่งออกของไทยยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันการจัดเก็บรายได้ในช่วงปีหน้า และปีถัดไปอาจจะมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึงปี 2564 และอาจจะยาวไปถึงปี 2565 ยังคงมีอยู่ ฉะนั้น สิ่งที่จะต้องทำก็คงต้องใช้มาตรการทางการคลังอย่างเหมาะสม ตรงเป้ามากขึ้นในการช่วยสร้างรายได้
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
พร้อมกันนี้จะต้องมีการดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาด้วย โดยขณะนี้ก็ได้มีการเตรียมการอยู่ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบ การเปิดประเทศให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามา และการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่จะเป็นการสร้างรายได้ในอนาคต ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการติดตามเรื่องการจัดเก็บรายได้ และเรียนว่าจะต้องมีการปรับโครงสร้างภาษี เรื่องการจัดเก็บรายได้ในอนาคต เพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่ ๆ เข้ามา รวมทั้งเป็นการขยายฐานรายได้ของรัฐด้วย เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ส่วนแนวนโยบายใช้มาตรการเงินกู้ จะต้องมีการออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมในจำนวนเท่าไหร่ที่เหมาะสมนั้น เรียนว่าจะต้องบริหารเงินกู้ส่วนหนึ่งที่มีอยู่จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดก่อน โดยนโยบายที่จะพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปี 2565 อยู่ระหว่างการจัดเตรียม และจะมีการนำเสนอในระยะถัดไป โดยจะพยายามพิจารณาในเรื่องการสร้างแรงจูงใจได้ผ่านมาตรการต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน และการกระตุ้นการส่งออก ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งปีนี้และในปีหน้า
ทั้งนี้ มาตรการทางการเงินก็เป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยให้ประคับประคองธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 หรือช่วงต้นปีหน้า ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในการที่จะทำมาตรการต่าง ๆ ออกมา