วิจัยกรุงศรีหั่นจีดีพีเหลือ 0.6% ชี้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอแม้รัฐคลายล็อก

เศรษฐกิจ

วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการจีดีพีปี’64 เหลิอโต 0.6% จาก 1.2% จากอุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ-เดลต้าระบาดกลุ่มโรงงาน ด้านการส่งออกคงเติบโต 13.5% หลังมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอก

วันที่ 31 สิงหาคม 2564 วิจัยกรุงศรีประเมินผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงกว่าคาดและผลต่อภาคการผลิตบั่นทอน GDP ปีนี้ลงจากประมาณการครั้งก่อน ล่าสุดวันที่ 27 สิงหาคม ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แม้เห็นชอบให้คงมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ต่อไปอีก 14 วัน แต่ได้ผ่อนปรนให้เปิดกิจการ/กิจกรรมภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น การเปิดบริการของร้านอาหาร  ห้างสรรพสินค้า (ยกเว้นบางแผนก อาทิ โรงภาพยนตร์ สวนน้ำ สวนสนุก) ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอล์ สนามกีฬา เป็นต้น ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน

หั่นจีดีพีเหลือโต 0.6%

ทั้งนี้ แม้บางกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่สีแดงเข้มจะเริ่มกลับมาดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไขข้อกำหนดตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน แต่การระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่เลวร้ายกว่าคาดจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ส่งผลให้มีการล็อกดาวน์เข้มงวดนานขึ้นและขยายวงกว้างพื้นที่สีแดงเข้ม

นอกจากนี้ การระบาดที่ลุกลามไปยังกลุ่มโรงงาน ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคอุตสาหกรรม ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะกระทบต่อ GDP รวม -2.9% ซึ่งในการประมาณการครั้งก่อนเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ได้ประเมินผลดังกล่าวไว้แล้ว -2.0% ดังนั้น ผลกระทบเชิงลบที่เพิ่มเติมจากการระบาดของ COVID-19 ต่อ GDP ปี 2564 ในประมาณการครั้งล่าสุดคือ -0.9%

สำหรับผลเชิงบวก คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการเพิ่มเติมในปีนี้อีกราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุน GDP ได้ +0.3% ผลกระทบสุทธิต่อการเติบโตของ GDP ในปีนี้โดยรวมแล้วจึงคาดว่าจะลดลงจากคาดการณ์เดิม -0.6% วิจัยกรุงศรีจึงปรับลดประมาณการ GDP ไทยปีนี้เติบโตเหลือ 0.6% จากเดิมคาด 1.2%

คงประมาณการส่งออกโต 13.5%

สำหรับการส่งออกเดือนกรกฏาคมเติบโตดีกว่าคาด แต่ผลกระทบจากการระบาดในภาคการผลิตมีความเสี่ยงสูงขึ้น มูลค่าส่งออกในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 22.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 20.3% YoY แม้ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี แต่สูงกว่าที่วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ไว้ที่ 18.7% หากหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ มูลค่าส่งออกเดือนนี้ขยายตัว 25.4%  ด้านการส่งออกสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ยังเติบโตกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผลิตภัณฑ์เคมี (+54.0%) ผลิตภัณฑ์เกษตร (+46.4%) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (+43.4%) และยานพาหนะและอุปกรณ์ (+36.1%) หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า (+21.9%) และหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (+20.9%)

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรบางรายการหดตัวต่อเนื่อง อาทิ ข้าว จากการแข่งขันทางด้านราคา อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ในประเทศ ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด

ในระยะข้างหน้า การส่งออกของสินค้าไทยยังคงได้แรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทยอยเพิ่มขึ้น การกลับมาดำเนินการของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การผ่อนคลายลงของภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการอ่อนค่าของเงินบาท อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศมีเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงและแพร่เข้าสู่ภาคการผลิต ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการปิดชั่วคราวในบางโรงงาน ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกบางสาขา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงาน

ดังนั้น แม้แรงส่งจากปัจจัยภายนอกแข็งแกร่งและสัญญาณเชิงบวกจากตัวเลขส่งออกล่าสุดที่ยังเติบโตมากกว่าคาด แต่ปัจจัยลบภายในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี วิจัยกรุงศรีจึงยังคงประมาณการการเติบโตของการส่งออกของปีนี้ไว้ที่ 13.5% เทียบกับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโต 16.2% (บนฐานข้อมูลกระทรวงพาณิชย์)