ดัชนี SET เดือน ก.ย.บวกต่อ มุมมองโบรกฯ 3 ค่าย คัดหุ้นเด่นรับเปิดเมือง

เงินบาท-ตลาดหุ้น-02

ตลาดหุ้นเดือน ก.ย.ดูจะคึกคักมากขึ้น เมื่อรัฐมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

โดยที่ผ่านมา ผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 1 ก.ย. 2564) บวกอยู่ 12.77% ซึ่งในช่วง 7 เดือนแรกของปี นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง กระทั่งในเดือน ส.ค.เริ่มพลิกกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนแรก 5,439.71 ล้านบาท

วางเป้าดัชนี SET เดือน ก.ย.

สำหรับในเดือน ก.ย.นี้ “ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส ให้ภาพว่าตลาดหุ้นไทยจะมีดาวน์ไซด์ค่อนข้างจำกัด ส่วนการปรับขึ้นขึ้นอยู่กับพัฒนาการการเปิดกิจกรรม (reopening) ในประเทศ และสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้ คาดการณ์กรอบดัชนี SET Index แนวรับที่ 1,565 จุด และแนวต้านที่ 1,670 จุด

โดยความเสี่ยงต่าง ๆ เริ่มคลายลงไปมาก ทั้งสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศดีขึ้น นำมาซึ่งการเปิดเมือง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศด้านนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ความกังวลการลดซื้อพันธบัตร (QE tapering)อาจจะพอบรรเทาลงไปได้บ้าง ซึ่งน่าจะทำให้แรงกดดันรบกวนน้อยลง

“โควิดในประเทศ โฟกัสถัดไปมอง 2 มุม คือ 1.จำนวนผู้ติดเชื้อจะกลับมาเร่งตัวหรือไม่ หลังจากคลายล็อก 2.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะมีมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ประเด็น QE เมื่อใกล้ถึงวันการประชุม FED ช่วงปลายเดือนก.ย.อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอลงทุน เพื่อรอความชัดเจน จึงอาจสร้างความผันผวนเป็นระยะ ๆ”

“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพดัชนีเดือน ก.ย.แกว่งขึ้นจำกัด โดยแนวต้านแรกอยู่ที่ 1,650 จุด และถัดไป 1,680 จุด ส่วนสัญญาณแนวรับ จากความแข็งแกร่งของปัจจัยในประเทศไม่ควรหลุด 1,600 จุด ด้วยทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลเข้าและพัฒนาเชิงบวกในประเทศ ขณะที่ค่าเงินบาทค่อนข้างคงที่

เก็งตลาดหุ้น ก.ย.ขึ้นไม่เกิน 3%

“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า เดือน ก.ย. ดัชนี SET ให้กรอบที่ 1,610-1,660 จุด โดยภาพตลาดหุ้นไทยจะไม่แตกต่างจากเดือน ส.ค. แต่จะปรับตัวขึ้นได้แค่ 1-3% ในขณะที่เดือนก่อนปรับตัวขึ้นกว่า 7%

ทั้งนี้ มี 2 เรื่องหลักที่ต้องติดตาม คือ 1.การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและสหรัฐว่าถึงขั้นทำให้ทั้ง 2 ธนาคารกลางจะยังไม่ถอนสภาพคล่องออก และเลื่อนการส่งสัญญาณใด ๆ ออกไป หรือเศรษฐกิจเพียงแค่ชะลอตัว แต่ธนาคารกลางเลือกจะส่งสัญญาณออกมา

2.ต้องระวังอย่าให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศกลับไปแตะเหนือ 20,000 ราย เพราะจะทำให้บรรยากาศการลงทุนเสียทันที

“เดือน ก.ย.มองเป็นกลางถึงบวกอ่อน ๆ ทิศทางลงทุนต้องระวังอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และ dollar index พลิกกลับมาแข็งค่าและดีดตัวขึ้นแรงทั้งคู่ ซึ่งปัจจัยนี้ปัจจัยเดียวตลาดหุ้นไทยมีโอกาสลงไปทดสอบ 1,610 จุดได้”

ส่องหุ้นเด่นรับเปิดเมือง

สำหรับหุ้นเด่น “ชาญชัย” บอกว่า บล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นธีม reopening จำนวน 3 บริษัท คือ บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M) โดยโมเมนตัมกำไรคาดว่าไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้

แต่ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสุทธิ (net cash flow) จึงไม่มีปัญหากิจการ สามารถผ่านวิกฤตโควิดไปได้ และหากมีการคลายล็อกดาวน์ต่อเนื่อง เชื่อว่าไตรมาส 4 กำไรจะฟื้น และปี 2565 เทิร์นอะราวนด์ได้

อีกบริษัท คือ บมจ.คอมเซเว่น (COM7)หลังโดนผลกระทบปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า แต่จากนี้ไปเชื่อว่ารายได้จะค่อย ๆ ปรับขึ้นมาได้ แนะนำซื้อให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท

และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ได้ประโยชน์มากสุดจากแรงหนุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการบิน

ด้าน “สรพล” กล่าวว่า บล.กสิกรไทยมองว่าตอนนี้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าเร็วมาก แต่ไม่น่าแข็งค่าไปกว่า 32.25 บาท ดังนั้น ไม่แนะนำให้ขายหุ้นธีมล็อกดาวน์มาซื้อหุ้นเปิดเมือง 100% โดยควรเก็บหุ้นส่งออกเหลือไว้ในพอร์ต

แนะนำซื้อ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) คาดกำไรขั้นต้น 30% ขึ้นไป ส่วนหุ้นปลอดภัยและราคา laggard บริษัทแม่ แนะนำซื้อ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (ADVANC)

รวมถึงแนะนำซื้อ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ซึ่งมีรายได้เข้ามาทันที จากการเดินทางทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล และเดือน ต.ค.จะเห็น TOR สายสีส้มใหม่ มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูล

ส่วนกลุ่มแบงก์แนะนำซื้อธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพราะจะได้ประโยชน์มากที่สุด จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการให้ไกล่เกลี่ยหนี้และขยายเวลาลดเงินนำส่งกองทุน FIDF และจัดชั้นหนี้เสีย (NPL) ช้าลง และกลุ่มโรงพยาบาลแนะนำซื้อ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ได้ประโยชน์ reopening สูงสุด

ด้าน “วิจิตร” กล่าวว่า บล.เมย์แบงก์ฯแนะนำซื้อ COM7 โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปที่ 82 บาท จากเดิม 68 บาท โดยเชื่อว่ากำไรจะทำจุดสูงสุดใหม่ในไตรมาส 4 มีโมเมนตัมเก็งกำไรระยะสั้น จากการเปิดตัว Apple, Xiaomi กลางเดือน ก.ย.และในฐานะผู้นำตลาดไอที

ขณะที่สินค้าแก็ดเจต, IOT เป็นเมกะเทรนด์ เติบโตปีละ 20% ต่อเนื่อง 2 ปี คาดกำไรปี 2564 ที่ 2,311 ล้านบาทเติบโต 55% จากปีก่อน และปี 2565 ที่ 2,766 ล้านบาท โต 20%

รวมถึงแนะนำซื้อ AOT เพราะเป็นด่านหน้าการเปิดเมือง ระยะสั้นได้การขับเคลื่อนในประเทศสายการบินกลับมาบิน และปี 2565 สัญญาณนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาได้ 13 ล้านคน เป็นหุ้นดีอับดันต้น ๆ เพราะผูกขาดท่าอากาศยาน คาดปี 2564 ขาดทุน 8,400 ล้านบาท ส่วนปี 2565 คาดจะพลิกบวก 15,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ เป็นภาพตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ย.และหุ้นเด่น ๆ ที่ บล.3 ค่ายวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ