JP เตรียมเทรดตลาดหุ้นไตรมาส 4 หวังก้าวสู่บริษัท วิจัย-จำหน่ายยา ชั้นนำ

หุ้นไทย
ภาพ pixabay

“โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (JP)” เตรียมขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 115 ล้านหุ้น จ่อคิวเข้าซื้อขายตลาดหุ้น mai ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดนำเงิน “พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่-ขยายการตลาด-ขยายโรงงาน-ชำระเงินกู้-ทุนหมุนเวียน” หวังก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย-ผลิต-จัดจำหน่ายยาอาหารเสริมครบวงจร

วันที่ 20 กันยายน 2564 นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร กล่าวว่า หลังจาก JP ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 115 ล้านหุ้น ล่าสุด ก.ล.ต.ได้อนุญาตให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา 

โดย JP จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาด การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงและขยายโรงงานทั้ง 2 แห่ง ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป

นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า ภายหลังจากที่ JP ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. และเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO โดยจะดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่าย รวมถึงประกาศราคาเสนอขาย IPO และกำหนดวันเปิดจองซื้อหุ้นให้แก่นักลงทุนได้รับทราบ เพื่อให้นักลงทุนที่สนใจได้จองซื้อหุ้น IPO และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของ JP ในครั้งนี้ 

“ซึ่งคาดว่า JP จะสามารถเสนอขายหุ้น IPO จนเป็นที่เรียบร้อยและนำหุ้นทั้งหมดของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้”

ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจยาและสมุนไพรกว่า 70 ปี รวมถึงมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเสริมทัพ สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีคุณภาพ ได้แก่ ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม 

พร้อมฐานการผลิตของโรงงานทั้ง 2 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน ภายใต้หลักปฏิบัติที่ดีในการผลิตสำหรับการผลิตยาและยาแผนโบราณ (GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ทัดเทียมกับมาตรฐานของสหภาพยุโรปและหลักปฏิบัติที่ดีในการผลิต (GMP) สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคเข้าสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพ

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการทำตลาด ที่จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของตัวเอง (OWN Brand) ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาผู้ป่วย ภายใต้ตราสินค้า COXTM กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติที่ใช้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ภายใต้ตราสินค้า สุภาพโอสถ TM กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้ตราสินค้า EVITONTM  

และกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ภายใต้ตราสินค้า JSPTM ที่ระดับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ในระดับที่สามารถใช้ได้ทั้งในครัวเรือนจนถึงกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของตัวเองให้สูงขึ้นในอนาคต 

ขณะเดียวกัน JP ยังผลักดันการเติบโตและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า (OEM) ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ JP โดยเน้นการบริการที่ครอบคลุมแบบครบวงจร (One Stop Services) ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาสินค้า การคิดค้นและพัฒนาสูตร การขอทะเบียนตำรับยาหรือการจดแจ้งเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) การออกแบบบรรจุภัณฑ์และควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพ เพื่อให้มีการเติบโตแบบยั่งยืน

“เรามีเป้าหมายในการก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งรูปแบบยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ JP ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร มีคณะผู้บริหารที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจมานาน ตลอดจนมีทีมวิจัยพัฒนาและโรงงานที่ได้มาตรฐานสากล ทำให้ JP มีความโดดเด่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับทุกกลุ่ม ทั้งแบรนด์ของตนเองหรือภายใต้แบรนด์ของลูกค้า และสามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทั้งในเชิงดูแล ป้องกันและรักษาได้เป็นอย่างดี” ดร.สิทธิชัยกล่าว