กองทุนหุ้น “อินเดีย-ญี่ปุ่น” เด่น ผลตอบแทน 9 เดือนบวกแรง

“โกลเบล็ก” แนะช็อป 9 หุ้นเด่นกลุ่มอสังหาฯรับคลายกฏ LTV

ช่วงเศรษฐกิจโลกกำลังขาขึ้น ทำให้หุ้นในหลาย ๆ ประเทศน่าสนใจขึ้นมาไม่น้อย นอกเหนือไปจากหุ้นของประเทศมหาอำนาจแล้ว อย่างช่วงนี้นักลงทุนไม่น้อยก็กำลังให้ความสนใจอินเดียและญี่ปุ่น

โดยกองทุนหุ้นของ 2 ประเทศนี้กำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ หลังจากดัชนีหุ้นอินเดียทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนดัชนีหุ้นญี่ปุ่นก็พุ่งสูงสุดในรอบ 31 ปี

ความน่าสนใจ “อินเดีย-ญี่ปุ่น”

โดย “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ฉายภาพว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของระบบสาธารณสุขในประเทศอินเดีย

แต่การระบาดในระลอก 2 นั้นถือว่ามีผลกระทบน้อยกว่ารอบแรก เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนมีการปรับตัวกับสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการเร่งฉีดวัคซีนและการลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้น จึงมองว่าอินเดียยังคงมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดี

ขณะที่กองทุนหุ้นญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในเดือน ก.ย.นี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 6.3% โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวลาออกของนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แม้ญี่ปุ่นจะยังมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกระจายวัคซีนที่ค่อนข้างล่าช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่โดยภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตได้ดี

“กองทุนหุ้นทั้ง 2 ประเทศเป็นกองทุนที่น่าลงทุน โดยกองทุนหุ้นอินเดียเป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนสะสมตั้งแต่ต้นปีสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในกลุ่มกองทุนต่างประเทศ ส่วนกองทุนหุ้นญี่ปุ่นก็มีผลตอบแทนสะสมที่น่าสนใจเช่นกัน” นางสาวชญานีกล่าว

โชว์ผลตอบแทนสูง

โดยข้อมูลของมอร์นิ่งสตาร์ฯพบว่า กองทุนหุ้นอินเดียที่ผลตอบแทนโดดเด่นในปีนี้คือ กองทุน B-BHARATA และกองทุนB-INDIAMRMF ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวงที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 42.87% และ 41.59% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนจาก บลจ.คิง ไว (เอเชีย) และ บลจ.ทิสโก้ ที่ให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 38%

ส่วนกองทุนหุ้นญี่ปุ่นพบว่า กองทุน ASP-NGF จาก บลจ.เอเซีย พลัส ให้ผลตอบแทนสะสมต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) สูงสุดที่ 31.85% ตามมาด้วยกองทุนจาก บลจ.กรุงศรี KF-JPSCAP และ KF-JPSCAPD ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 22% นอกจากนี้ ยังมีกองทุนจาก บลจ.กรุงไทย ได้แก่ กองทุน KT-JAPAN-D และ KT-JAPAN-A ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18% (ดูตาราง)

อินเดียเหมาะลงทุนยาว

“พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า อินเดียเป็นอีกประเทศที่น่าลงทุนในปีนี้ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกประเทศหนึ่งเติบโตได้สูงที่สุดในโลกจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงนโยบายการเงินการคลังยังคงเอื้ออำนวยให้กับการฟื้นตัวของประเทศอย่างมาก และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาในไตรมาสที่ผ่านมายังคงเติบโตได้สูง

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นอินเดียยังได้อานิสงส์จากเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจมหภาค และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังแข็งแกร่ง

“ตลาดหุ้นอินเดียยังสามารถเติบโตและมีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนทั้งในด้านการลงทุนโดยตรง (FDI) และตลาดหุ้น

รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ค่อนข้าง progrowth และกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงสร้างการเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเนื่องจากมูลค่าตลาดค่อนข้างสูง จึงแนะนำให้ทยอยเข้าสะสมเมื่อมีจังหวะย่อ และถือเป็นการลงทุนระยะยาว”

หุ้นญี่ปุ่นร้อนแรง แนะลงทุนสั้น

ด้าน “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า กองทุนหุ้นญี่ปุ่นเป็นอีกกองทุนที่ บลจ.กำลังให้ความสนใจ ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้บรรยากาศ (sentiment) บวกจากข่าวที่นายกรัฐมนตรีลาออก ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นดีดตัวพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังถึงนโยบายทางการเงินจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น

จึงทำให้เห็นนักลงทุนนำเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะสั้นถึงระยะกลางเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวคงต้องติดตามการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงนโยบายและการดำเนินการทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด

“ชวินดา” กล่าวด้วยว่า แต่เดิมญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพด้านการเงินและเศรษฐกิจที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงที่ผ่านมาในการจัดงานโอลิมปิก 2021 ที่จัดขึ้นที่กรุงโตเกียว จะไม่ประสบความสำเร็จและค่อนข้างขาดทุนอย่างหนัก ทำให้ในช่วงนั้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงไปค่อนข้างมาก แต่ตลาดก็มีการปรับตัวขึ้นมาได้เรื่อย ๆ

นอกจากนี้ เริ่มเห็นญี่ปุ่นมีการเร่งฉีดวัคซีนที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้คนคาดหวังถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

“สำหรับหุ้นญี่ปุ่น แนะนำลงทุนในระยะสั้น-กลาง โดยนักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนโยบายจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งนี้ ก็ต้องระมัดระวังการปรับฐานเพราะตลาดมีการปรับตัวขึ้นมามากแล้วในช่วงที่ผ่านมา” นางชวินดากล่าว

นับว่าเป็นอีก 2 ตลาดที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ในจังหวะนี้