อาคม เชื่อปี’64 จีดีพีโต 1.3% เปิด 6 ข้อ รัฐ-เอกชน ควรร่วมมือหนุนเศรษฐกิจฟื้น

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

รมว.คลัง เชื่อปีนี้จีดีพีโต 1.3% คาดปี’65 ขยายตัว 4-5% พร้อมเปิด 6 เรื่อง “รัฐ-เอกชน” ควรร่วมมือหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวระยะยาว

วันที่ 27 กันยายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงาน Sustainable Thailand 2021 รวมพลังนักลงทุนสถาบันและภาคธนาคาร จัดขึ้นโดยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ว่า เศรษฐกิจประเทศไทยนั้น ในขณะที่จะต้องรับมือกับโควิดแล้วจะต้องพิจารณาด้วยว่าจะเดินไปในทิศทางใดในอนาคตเมื่อจบโควิดแล้ว ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 ก็จะออกมาเร็ว ๆ นี้ จะเป็นแนวทางของประเทศไทย ส่วนกระทรวงการคลังนั้น พยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีความสามารถในการฟื้นตัวอยู่แล้ว จากการวางนโยบายการคลัง

ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดหลายระลอก รัฐก็พยายามควมคุมสถานการณ์ด้วยได้มีการนำมาตรการทางการเงิน และมาตรการทางการคลัง เพื่อช่วยเหลือธุรกิจและประชาชน เช่น ยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังพยายามรักษาการบริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในปี 2564 นี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับ 1.3% ถือเป็นตัวเลขค่อนข้างดี และในปีหน้าจะรักษาแรงส่งต่อไป เพื่อที่จะให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ 4-5%

นายอาคมกล่าวว่า ขณะที่รับมือกับโควิด เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้มีการวางรากฐานที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ซึ่งรัฐจะพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยมีมาตรการ 2-3 อย่างด้วยกัน โดยเฉพาะในการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม เพื่อช่วยดูแลประชาชน ซึ่งหากทำได้เร็วก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปทดแทนรายได้ด้วย นอกจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น และวางนโยบายการคลัง เพื่อช่วยเหลือยามฉุกเฉิน ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ทั้งนี้ การฟื้นตัวระยะยาว ความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญมาก ซึ่งมีอยู่ 6 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.การส่งเสริมโมเดล BCG หรือเศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียนและสีเขียว ซึ่งเน้นสร้างสินค้าหรือเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ในการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ เพื่อให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรัฐก็ได้มีมาตรการในการออกพันธบัตรยั่งยืนต่าง ๆ และการส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

2.ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในการลงทุน เช่น การลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุน ทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น 3.เศรษฐกิจดิจิทัล จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย 4.การให้ความสำคัญการสร้างโครงข่ายรับรองทางสังคม ซึ่งทุกคนควรจะได้รับการคุ้มครองผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมแห่งชาติต่าง ๆ

5.การลดความยากจนและความไม่เท่าเทียม ในการวางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาระบบสวัสดิการต่าง ๆ เพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และมีการกระจายรายได้ให้มากขึ้น และ 6. บทบาทของตลาดทุนและการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการทรัพยากร ซึ่งสิ่งที่อยากจะเห็นคือ Green Finance ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน