ต้นทุนประกันภัยต่อพุ่ง 10-20% เอฟเฟ็กต์ “โรคระบาด-ภัยธรรมชาติ” ส่อกระทบธุรกิจ “อสังหาฯ-เมกะโปรเจ็กต์” หนักสุดถูกชาร์จเบี้ยขึ้นตาม “ไทยรีฯ” ประเมินธุรกิจประกันเผชิญภาวะ “hard market” ลากยาว 2-3 ปี
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มเบี้ยประกันภัยจะขยับสูงขึ้นเนื่องจากปัจจุบันธุรกิจประกันภัยถูกดิสรัปต์จากภัยโรคระบาดและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งนับวันจะมีความถี่และสร้างความเสียหายที่รุนแรงขึ้น
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
ตามรายงานของ Munich Re ระบุว่า ในปี 2563 ความสูญเสียโดยรวมจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลก มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.66 แสนล้านดอลลาร์ ในปีก่อนหน้า และพบว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นกว่า 980 เหตุการณ์ มียอดผู้เสียชีวิตกว่า 8,200 คน ส่งผลให้มีค่าสินไหมทดแทน (เคลมประกัน) มูลค่ารวม 82,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่ายอดเคลมประกันในปีก่อนหน้าที่มียอดอยู่แค่ 57,000 ล้านดอลลาร์ อย่างมีนัยสำคัญ
“เอฟเฟ็กต์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยทั่วโลกแพงขึ้น นั่นหมายความว่าบรรดาบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ (รีอินชัวเรอร์) จำเป็นต้องปรับขึ้นค่าเบี้ยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบเป็นโดมิโนมายังบริษัทประกันภัยของไทยต้องชาร์จเบี้ยรับโดยตรงจากประชาชนสูงขึ้นด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนสถานการณ์ความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมในไทยปี 2564 นี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า เบื้องต้นประเมินความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรมากกว่า 2.5 ล้านไร่ แต่มูลค่ายอดเคลมประกันภัย อาทิ ข้าวนาปี, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คงต้องรอให้ระดับน้ำลดลงก่อน ขณะเดียวกันมรสุมยังไม่หมด แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความรุนแรงจะน้อยกว่าปี 2554
ด้านนายฉัตรชัย พยาฆรินทกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว เบี้ยประกันมีสัญญาณปรับขึ้นทุกปี เพียงแต่ด้วยภาวะการแข่งขันที่สูง ทำให้ราคาเบี้ยถูกกดลงต่ำ หรืออยู่ในภาวะตลาดอ่อนตัว (soft market) ในบางช่วง แต่นับตั้งแต่ช่วงปี 2563 มา เริ่มเข้าสู่ภาวะตลาดแข็งตัว (hard market) หลังจากภาคธุรกิจประกันภัยทั่วโลกได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 และภัยพิบัติใหญ่ในอเมริกาและยุโรป ส่งผลต่อเงินกองทุนที่ปรับตัวลดลงมาก จึงจำเป็นต้องหาทางดึงเม็ดเงินกลับเข้ามา
“เมื่อก่อนเราจะมีเงินเข้าสู่ระบบง่าย ๆ จากมาตรการของสหรัฐในการอัดฉีดเงินสภาพคล่อง และบรรดาเฮดจ์ฟันด์เข้ามาลงทุนในธุรกิจประกันค่อนข้างมากผ่านกองทุนต่าง ๆ ของโลก อาทิ กองทุนภัยพิบัติ เป็นต้น เพื่อหาผลตอบแทนที่สูง แต่พอซัพพลายตรงนี้หายไปจากภัยที่เกิดขึ้น ขณะที่ดีมานด์ยังสูงอยู่ ทำให้เกิดภาวะ hard market ขึ้นตามกลไกตลาด ดังนั้นเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีจากนี้ ภาวะตลาดแข็งตัวจะยังคงรุนแรง จนกว่าจะเห็นสัญญาณเคลมความเสียหายลดลง” นายฉัตรชัยกล่าว
โดยเบื้องต้นจากการหารือร่วมกับบรรดากองทุนในสหรัฐช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนพบว่า เฉพาะธุรกิจประกันในอเมริกามีการชาร์จค่าเบี้ยประกันขึ้นไปแล้วเกือบ 20% ในช่วงปี 2564 ขณะที่ในยุโรปเพิ่มขึ้นกว่า 15% ซึ่งปีหน้ายังเป็นเทรนด์นี้อยู่
ส่วนในเอเชียรวมไปถึงไทยคาดว่าค่าเบี้ยประกันจะปรับขึ้นระหว่าง 10-15% ขึ้นอยู่ในแต่ละประเทศ แต่เนื่องด้วยทวีปเอเชียยังไม่มีภัยพิบัติใหญ่เหมือนในอเมริกาและยุโรป ขณะที่ผลกระทบโควิดในไทยเองไม่ได้คุ้มครองกรณีธุรกิจหยุดชะงัก จะเป็นลักษณะคุ้มครองสุขภาพ ดังนั้นผลกระทบจึงน้อยกว่า
“เมืองไทยยังคงมีผลกระทบในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ที่ต้นทุนจากประกันภัยต่อในต่างประเทศที่ปรับราคาเบี้ยขึ้นกว่า 10-15% ซึ่งบริษัทประกันในไทยยังไม่สามารถรับความเสี่ยงไว้เองได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องส่งออกไปต่างประเทศ ส่วนงานประกันภัยทางทะเลขนส่งและงานประกันภัยวิศวกรรมแม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่จะถูกชาร์จเบี้ยขึ้นตามไปด้วยจากต้นทุนประกันภัยต่อที่แพงขึ้น ส่วนจะลดภาระผู้เอาประกันคนไทยได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับการต่อรองบางที่งานไซซ์ใหญ่ ก็ต้องรักษาลูกค้าไว้ อาจจะบาลานซ์ขึ้นเบี้ยงานทีละประเภท แต่ยังไงเบี้ยถูกชาร์จแพงขึ้นแน่ ๆ” นายฉัตรชัยกล่าว