วิบากกรรมกองทุนหุ้นจีน สารพัดปัจจัยลบ ฉุดรีเทิร์นร่วง

หลังจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินหน้าจัดระเบียบธุรกิจอย่างจริงจัง มีการบังคับใช้กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เข้มงวด ทั้งในกรณีของ Alibaba, Didi ไล่มาจนถึงธุรกิจกวดวิชา การจำกัดเวลาเล่นเกมของเยาวชนจีน

ได้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนกองทุนหุ้นจีน(China Equity) ยิ่งต่อมาเกิดกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าผลกระทบจะขยายวงกว้างออกไปทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ล่าสุดยังมีประเด็นเรื่องการขาดแคลนพลังงานของจีนที่ซ้ำเข้ามาอีก

ผลตอบแทน 9 เดือนร่วง

“ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ผ่านมา กองทุนหุ้นจีนมีผลตอบแทนลดลงต่ำที่สุด หรือเฉลี่ย -13.9% โดยมูลค่าทรัพย์สินลดลง 10.7% จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 1.9 แสนล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี นักลงทุนอาจมองเป็นโอกาสการลงทุน ทำให้ในไตรมาสดังกล่าว กองทุนหุ้นจีนยังมีเงินไหลเข้าสุทธิ 7,500 ล้านบาท แต่ก็ลดลงจาก 1.6 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2 และ 5.5 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรก

ทั้งนี้ กองทุนที่ผลตอบแทนร่วงหนักสุดในรอบ 9 เดือน ได้แก่ กองทุน BCAP-CTECH จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ผลตอบแทนอยู่ที่ -28.13% ตามด้วยกองทุน TMBCOF จาก บลจ.ทีเอ็มบี อีสท์สปริง ผลตอบแทนอยู่ที่ -20.27% นอกจากนี้ยังมีกองทุนจาก บลจ.ยูโอบี และ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ผลตอบแทนเกือบ -20% (ดูตาราง)

“จากปัจจัยเชิงลบที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นจีน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความปลอดภัยของข้อมูลที่เกิดขึ้นกับ Didi การออกกฎให้สถาบันการศึกษาเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไรที่ส่งผลโดยตรงกับสถาบันกวดวิชาหลายแห่ง การจำกัดเวลาเล่นเกมกับเยาวชนจีน มาจนถึงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ทำให้บรรยากาศการลงทุนหุ้นจีนได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยกองทุนหุ้นจีน แต่ละกองทุนอาจได้รับผลกระทบที่มากน้อยแตกต่างกัน” นางสาวชญานีกล่าว

โดยหากอ้างอิงกลุ่มกองทุนของ master fund จะสามารถแบ่งเป็น EAA Fund China Equity (จีนและฮ่องกง), EAA Fund China Equity-A Shares, EAA Fund Greater China Equity (จีน ฮ่องกง และไต้หวัน) และ US Fund China Region ซึ่งเป็น ETF ในสหรัฐ โดยกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้น A-shares จะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า หรือมีผลตอบแทนเฉลี่ยรอบไตรมาสล่าสุดที่ -9.1%

ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในฮ่องกงด้วย จะมีผลตอบแทนแย่กว่า และกลุ่ม ETF จะมีผลตอบแทนติดลบมากที่สุดเฉลี่ย -19.3% เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน

ระยะสั้นจีนยังผันผวน

ขณะที่ “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่าหลังจากจีนประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ออกมาต่ำกว่าคาดค่อนข้างมาก ซึ่งมาจากกรณีอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อย่างบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในกลุ่มอสังหาฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

รวมถึงยังมีประเด็นการขาดแคลนพลังงานเข้ามาอีก แต่อาจจะเป็นปัจจัยระยะสั้นและเชื่อว่าจีนจะเดินหน้าเร่งแก้ปัญหานี้ได้

อย่างไรก็ดี อาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อในจีน ซึ่งจะนำไปสู่การที่ต้นทุนของบริษัทต่าง ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นและจะทำให้ราคาสินค้าเร่งตัวขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่เนื่องจากโควิด-19 ยังไม่จบ

“จีนยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเงียบอยู่ ซึ่งทำให้ยังประเมินภาพการลงทุนในจีนได้ค่อนข้างยากในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจีนยังคงมีความผันผวนและมีปัจจัยลบรุมเร้าค่อนข้างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวหากนักลงทุนสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจีนได้ จีนก็ยังคงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่จีนก็ยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล” นางชวินดากล่าว

ปรับโครงสร้าง ศก.จีนอีกหลายปี

ด้าน “มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้ราคาในตลาด H-shares จะต่ำกว่าตลาด A-shares ประมาณ 20%

แต่มองว่าอัพไซด์ของจีนยังไม่มีมากนัก และเนื่องจากราคาที่ต่ำ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขายออก แต่หากจะเข้าซื้อ อาจจะพอมีอัพไซด์ แต่ก็ค่อนข้างที่จะยากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโซนสหรัฐหรือยุโรป รวมถึงการลงทุนในกลุ่มการเงิน (global financial)หรือกลุ่มเทคโนโลยี (global technology) ที่น่าจะมีอัพไซด์ที่ดีกว่ากองทุนหุ้นจีน

“หากมองในภาพใหญ่คิดว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจีนคงจะใช้ระยะเวลานานหลายปี และจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดความผันผวนได้ตลอด ดังนั้น จากความไม่แน่นอน จึงยังทำให้ยังมีความผันผวนที่สูง แต่หากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีน แนะให้ลงทุน H-sharesและ A-shares ในสัดส่วนการลงทุนที่เท่า ๆ กัน ประมาณ 50 : 50% แต่หากดูเรื่องอัพไซด์มองว่าการลงทุนในสหรัฐและยุโรปดูน่าสนใจกว่า เนื่องจากมองว่าจีนยังเป็นดาวน์ไซด์มากกว่าอัพไซด์” นายมนรัฐกล่าว


ทั้งหมดนี้ คงต้องขึ้นกับนักลงทุน ว่าจะมองช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว หรือจะเลือกไปลงทุนในที่ที่ผันผวนน้อยกว่า