กสิกรชี้ช่องเศรษฐีกรุงขนที่ดิน เช่า-จับคู่ธุรกิจโครงการนำร่อง 200 แปลง

แฟ้มภาพประกอบข่าว

กสิกรฯรุกคืบ “ลูกค้าไฮโซ” แห่ขอคำปรึกษาจัดการ “ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” หนุนเพิ่มมูลค่า รับมือภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมรดกในอนาคต เผยล่าสุดทำดีลให้เศรษฐีเมืองกรุงขนที่ดิน 200 แปลง มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท จับตาปีหน้าดีลชัดเจนมีทั้งจับคู่ธุรกิจร่วมทำโครงการ-ปล่อยเช่าที่ดิน มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท บนที่ดิน 20 แปลง

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริการไพรเวตแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมีกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง หรือ HNWIs (high net worth individual) เข้ามาขอคำปรึกษาในการบริหารจัดการที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงเรื่องภาษีที่ดินและภาษีมรดกที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตกันมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารสามารถเข้าไปให้คำปรึกษาและบริหารจัดการเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ลูกค้าแล้วราว 200-300 แปลง คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โดยที่ดินส่วนใหญ่กว่า 70-80% ของจำนวนทั้งหมดที่ลูกค้าได้เข้ามาหาปรึกษาธนาคาร พบว่าส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มเศรษฐีที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น พื้นที่สุขุมวิท หรือแจ้งวัฒนะ

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์

สำหรับโครงการ (โปรเจ็กต์) ต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา (ทำดีล) และหาทางออกร่วมกับลูกค้า รวมถึงมีการหารือกับทางฝ่ายกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารก็ได้มีการคาดการณ์ว่า ภายในปีหน้าจะมีความชัดเจนในการเข้าไปบริหารจัดการที่ดิน ซึ่งน่าจะนำไปสู่การทำโครงการต่าง ๆ ออกมาได้ราว 10-20 แปลง คิดเป็นมูลค่าที่ดินรวมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท จากจำนวนที่ดินทั้งหมดที่เข้ามาขอคำปรึกษา โดยรูปแบบโปรเจ็กต์ดังกล่าวอาจมีทั้งการจับคู่ธุรกิจ เพื่อนำที่ดินไปพัฒนาโครงการต่าง ๆ หรือดีลการให้เช่าที่ดิน เพื่อนำรายได้ไปจ่ายภาษีในอนาคต

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้า HNWIs คือ ลูกค้าที่ถือครองสินทรัพย์หรือเงินฝากกับธนาคารมูลค่ารวมเกิน 50 ล้านบาท

นายจิรวัฒน์กล่าวว่า เนื่องจากธนาคารมีใบอนุญาต (ไลเซนส์) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และสามารถให้คำปรึกษาแนะนำและทำในฐานะตัวแทนของลูกค้าได้ เช่น การนำที่ดินมาพัฒนา หรือต่อยอดโครงการต่าง ๆ หรือจับคู่พันธมิตรทางธุรกิจให้กับลูกค้าธนาคาร เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวมีการบริหารจัดการ เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้ในอนาคต มากกว่าการครอบครองที่ดินไว้เฉย ๆ ซึ่งภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาแก่ลูกค้ากลุ่ม HNWIs โดยเฉพาะการช่วยบริหารจัดการด้านที่ดินอสังหาฯ ทำให้ธนาคารได้มีการตั้งทีมใหม่ โดยเพิ่มอีก 3 คน ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเชี่ยวชาญตลาดอสังหาฯ ที่จะมาให้คำปรึกษาโดยเฉพาะเกี่ยวกับด้านภาษีใหม่ ๆ

“อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของลูกค้าเท่านั้น ส่วนการเป็นนายหน้าขายที่ดินธนาคารคงไม่ทำ ส่วนการเป็นที่ปรึกษาการบริหารทรัพย์สิน ในส่วนของที่ดินที่เข้ามาในขณะนี้จะเป็นส่วนที่เราร่อนตะแกรงแล้ว แต่ยังมีที่ไม่ร่อนตะแกรงอีกมาก ที่ต้องมาคัดกันอีก ทำให้คาดว่าปีหน้าเราน่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มมาให้บริหารอีกมาก จากปีนี้ที่ส่วนใหญ่ลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ในกรุงเทพฯ” นายจิรวัฒน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 คาดว่าน่าจะเห็นธนาคารขยายการเข้าไปรับคำปรึกษา หรือเข้าไปช่วยลูกค้าในการบริหารจัดการที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการจัดการมรดกได้ครอบคลุมไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังโฟกัสอยู่ในภาคกลางเป็นหลัก โดยเฉพาะเข้าไปดูแลลูกค้าในจังหวัดภูเก็ต ที่ปัจจุบันนักลงทุนได้เข้ามาหารือเรื่องการบริหารที่ดินค่อนข้างมาก เพราะมีการถือครองที่ดินจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นแปลงใหญ่ ทำให้อาจยุ่งยากในการบริหารจัดการด้านภาษีในอนาคต


“การถือครองที่ดินของนักลงทุนส่วนใหญ่ ปัจจุบันนี้ที่มีปัญหาคือการถือครองที่ดินในนามบุคคลธรรมดา ไม่ใช่การถือครองโดยนิติบุคคล แน่นอนหากถือเป็นนิติบุคคล อันนี้ชัดเจนว่า อาจจะไปพัฒนาต่อเป็นโครงการต่อ ขยายพื้นที่โรงแรม แต่มีบางพื้นที่ที่หลุดโลเกชั่น หรือถือนามบุคคลธรรมดา ดังนั้นหากปล่อยไว้เฉย ๆ ก็อาจมีผลด้านภาษีในอนาคต ดังนั้นคำปรึกษาส่วนใหญ่จึงเข้ามาในลักษณะที่ว่า จะถือครองแบบไหน หรือจะขายเพื่อรับมือกับภาษีที่ดินที่จะมาถึงในอนาคต” นายจิรวัฒน์กล่าว