เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 แล้ว เศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว
แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ประเทศไทยเองก็มีปัจจัยเชิงบวกจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและการเปิดประเทศที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
หากมองในมุมการลงทุน แนวโน้มสถานการณ์เช่นนี้อาจจะมีคำถามว่า ควรจะลงทุนอย่างไร จัดพอร์ตแบบไหน จึงจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
แนะจัดพอร์ตลุยหุ้นนอก
“พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และทีม Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตร
โดยการจัดพอร์ตแนะนำให้กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักทั้งหุ้นอเมริกา, หุ้นญี่ปุ่น, หุ้นจีน และหุ้นเอเชีย รวมทั้งแนะนำแบ่งพอร์ตเพื่อลงทุนตามธีม (thematic) ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
นอกจากนี้ แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ หรือกองรีท เข้ามาในพอร์ตเนื่องจากสามารถเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อขาขึ้นได้
ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัล ในไทยยังไม่ได้มีกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่กองทุนฟินเทคหลาย ๆ กองก็มีการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลอาจทำหน้าที่ในพอร์ตคล้ายทองคำได้ในแง่ภาวะเงินเฟ้อ
ซึ่งผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง สามารถเพิ่มสินทรัพย์ดิจิทัลในพอร์ตได้ แต่คงสัดส่วนน้อย หรือจำกัดไว้อยู่ในส่วนสินทรัพย์ทางเลือก
“แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น แล้วกระจายการลงทุนออกไปต่างประเทศ ในสัดส่วน 60 : 40 คือ หุ้น 60% และ พันธบัตรกับสินทรัพย์ทางเลือก 40% แล้วค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนหุ้นตามระดับความเสี่ยงที่รับได้”
ชูจัดพอร์ตเชิงรุกรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
ขณะที่ “ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิสกล่าวว่า จากเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังฟื้นตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปีนี้และต้นปีหน้า จึงคาดว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวน่าจะกลับมา perform ได้ดี ดังนั้น สำหรับการจัดพอร์ตในช่วงที่เหลือของปีจะเป็นการจัดพอร์ตในแบบเชิงรุก
โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุน 60% เป็นการลงทุนในหุ้น อีก 20% อยู่ในพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือรีท ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจากนี้ไปมองว่าธุรกิจต่าง ๆ จะเริ่มฟื้นตัว
ส่วนอีก 20% สุดท้ายจะเป็นการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ 10% ตราสารหนี้ 10% เป็นต้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับพอร์ต
ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถแบ่งสัดส่วน 10% ที่ลงทุนในทองมาลงทุนได้แต่แนะนำให้ระมัดระวัง เนื่องจากค่อนข้างมีความเสี่ยงและผันผวนสูงมาก
“การลงทุนในหุ้น 60% อาจเเบ่งเป็นการลงทุนในหุ้นไทย 30% หุ้นนอก 30%โดยหุ้นไทยมองว่ากลุ่มที่น่าสนใจและฟื้นตัวได้ดี จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก ที่มองว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว โดยจะเห็นได้จากผลตอบแทนในปีนี้ที่สูงมากกว่า 50%”
เชียร์ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง
ด้าน “ชาคริต พืชพันธ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ สำหรับในไทยแนะนำเป็นหุ้นเกี่ยวกับกลุ่มสถาบันการเงิน รวมถึงกลุ่มพลังงาน ซึ่งผลประกอบการออกมาค่อนข้างดีและน่าสนใจ
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศมองว่าจีนยังคงน่าสนใจ เพราะมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา ฉะนั้น การลงทุนในช่วงที่เหลือมองว่าน่าจะต้องมองหาตลาดที่ก่อนหน้านี้มีการปรับตัวไปแล้ว เนื่องจากตลาดที่ปรับตัวลงไปมาก ก็จะมีโอกาสที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาได้ แต่การลงทุนในจีนอาจจะต้องเลือกธีมการลงทุนให้ดี เพราะในบางส่วนก็ยังมีความผันผวนอยู่ไม่น้อย
สำหรับสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ยังมีความผันผวนอยู่ทั้งในระยะนี้และต้นปีหน้า ซึ่งมองว่านักลงทุนน่าจะเน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงในหุ้นมากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย แต่สำหรับนักลงทุนที่สนใจก็สามารถลงทุนได้ในสัดส่วนที่พอดี
“การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ ปัจจุบันราคาพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่(นิวไฮ) และกำลังเป็นการลงทุนที่ถูกจับตามอง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงและมีความผันผวนอย่างมาก แม้จะให้ผลตอบแทนที่สูง จึงแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง”
นักลงทุนที่กำลังจัดพอร์ต น่าจะได้แนวทางนำไปปรับพอร์ตของตัวเองให้เหมาะกับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ต้องการได้