หุ้นไทยลุ้นยืนเหนือ 1,630 จุดอีกครั้ง รับเปิดประเทศ CPALL-LH เด่น

หุ้น

บล.ฟิลลิป ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,620-1,635 จุด เช้านี้ขึ้นกลับไปยืนเหนือ 1,630 จุดอีกครั้ง ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเปิดเมือง กลยุทธ์ระยะสั้นซื้อสะสมที่บริวณแนวรับและขายทำกำไรบริเวณแนวต้านในหุ้นปัจจัยบวกเฉพาะตัว (กลุ่มเปิดเมือง-เก็งกำไรงบฯไตรมาส 3/64-Inflation Hedge) แนะนำหุ้นเด่น CPALL-LH

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้ลุ้นแกว่งตัวอิงทางขึ้นกลับไปยืนเหนือ 1,630 จุดอีกครั้ง ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเปิดเมือง ได้แก่ ธนาคาร, ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า, ขนส่งสาธารณะ ตอบรับการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่า SET Index อาจขยับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่อยู่ในสัปดาห์นี้มีทั้งการประชุม FOMC ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย. 2564 ที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะประกาศทำ QE Tapering อย่างเป็นทางการ

รวมถึงการประกาศตัวเลขทางเศษฐกิจของสหรัฐและจีนที่แนวโน้มในเดือน ต.ค. 2564 คาดว่าจะชะลอตัวลง จึงคาดว่าวันนี้ SET Index จะแกว่งตัวอิงทางขึ้นในกรอบระหว่าง 1,620-1,635 จุด

กลยุทธ์ระยะสั้นซื้อสะสมที่บริวณแนวรับและขายทำกำไรบริเวณแนวต้านในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (กลุ่มเปิดเมือง, เก็งกำไรงบฯไตรมาส 3/64, Inflation Hedge)

ขณะที่ผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีมติยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศ แต่คงไว้เฉพาะ 7 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, นครศรีธรรมราช, สงขลา, จันทบุรี และตราด และได้ประกาศให้มีพื้นที่สีฟ้านำร่องการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพฯ, กระบี่, พังงา และภูเก็ต สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้

นอกจากนี้ทางกรุงเทพมหานครออกประกาศคลายล็อกกิจการกิจกรรมเพิ่มเติมเป็นบวกต่อกลุ่มห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์, ร้านอาหาร และท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้ยังต้องรอดูการตอบรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยว่าจะมากหรือน้อยกว่าคาดการณ์

รวมถึงหลายพื้นที่ในประเทศ อาทิ เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์ ต้องเฝ้าระวังว่าจะควบคุมการระบาดได้หรือไม่ ซึ่งหากมีการระบาดซ้ำ GDP ไทยปีนี้อาจโตไม่ถึง 0.8%

ด้านทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไม่สู้ดี สัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องตลอด 5 วันทำการเกือบ 20 จุด (-1.22%) ด้วยแรงขายสุทธิจากทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันกว่า 6,800 ล้านบาท และ 3,690 ล้านบาท (ตามลำดับ)

ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทเริ่มพลิกอ่อนค่าเล็กน้อย สะท้อนภาพนักลงทุนต่างชาติลดสถานะในหุ้นไทยในช่วงความผันผวนสูงรอติดตามผลการประชุม Fed ในสัปดาห์นี้ที่คาดจะมีประกาศทำ QE Tapering อย่างเป็นทางการ

ส่วนปัจจัยสำคัญอื่นสัปดาห์นี้ 1.ตัวเลข Manufacturing PMI ของสหรัฐและจีน 2.ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐเดือน ต.ค. 2564 3.การประชุม OPEC+ และ 4.การส่งมอบวัคซีน Moderna ลอตแรกจำนวน 5.6 แสนโดส

แนะนำ “ซื้อ” หุ้นเด่น CPALL : มาตรการภาครัฐช่วยธุรกิจฟื้นตัว โดยการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. รวมถึงการยกเลิกเคอร์ฟิวและลดพื้นที่ควบคุม, การผ่อนปรนขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล้วนส่งผลดีต่อ traffic เข้าร้าน

และปัจจัยส่วนตัวช่วยสนับสนุน โดย Refinance Bridging Loan ที่แล้วเสร็จ, การถ่ายโอน Lotus’s และขายหุ้น MAKRO จำนวน 363.2 ล้านหุ้นช่วง PO จะช่วยลดภาระหนี้และทำให้คล่องตัวขึ้น


แนะนำ “ซื้อ” หุ้นเด่น LH กำไรไตรมาส 3/64 ต่ำสุด โดยยอดจอง 9 เดือนปี’64 ไปได้ดี แต่ยอดโอนไตรมาส 3/64 ชะลอจาก COVID-19 ส่วนธุรกิจเช่า/ธุรกิจลงทุนลดลง คาดกำไรไตรมาส 3/64 แต่กำไรไตรมาส 4/64 เพิ่มเท่าตัวจากไตรมาส 3/64 (ยอดจองบ้านเติบโตต่อจากการเปิดเมือง/LTVและธุรกิจเช่า/เงินลงทุน กลับมาฟื้นตัว) ราคายังถูก คาดกำไรเข้าสู่การฟื้นตัวแรง P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และผลตอบแทน 6%