โอไมครอนฉุดดัชนีทรีนีตี้ แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น ธ.ค. ฝ่ากระแสไวรัสกลายพันธุ์

ตลาดหุ้น
ภาพ Pixabay

“ทรีนีตี้” แนะกลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค. รอซื้อที่ระดับดัชนี 1,580 และ 1,550 จุดตามลำดับ หวั่นการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงแรก ประเมินหากพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนเดิมยังคงมีประสิทธิภาพในการต่อต้าน คาดจะทำให้ดัชนีทยอยไต่ระดับขึ้นได้

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือน ธ.ค. 2564 ว่า การระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ในรอบนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ไม่ค่อยดีนักกล่าวคือ ด้วยระดับ Valuation ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะทางฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ และยุโรป

ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็คือ ในแง่ของนโยบายการเงิน ซึ่งหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่นโยบายการเงินทั่วโลกยังผ่อนคลายแบบสุดโต่ง ก็คงจะไม่มีผลอะไรมากนัก แต่ปรากฏว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดกำลังสะท้อนความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มเข้มงวดนโยบายการเงินมากขึ้น ดังนั้น สถานการณ์แบบนี้จึงค่อนข้างทำให้ตลาดหุ้นเผชิญกับการปรับฐานได้โดยง่าย

ทั้งนี้ การกลายพันธุ์ของโรคโควิดนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องของสายพันธุ์ Variant ต่าง ๆ มาให้เห็นแล้ว แม้จะเริ่มมีหลักฐานว่าสายพันธุ์ “โอไมครอน” มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แต่หากพิสูจน์ได้ว่าผลกระทบต่อในแง่ของความสูญเสียนั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก หรือที่สำคัญที่สุดพิสูจน์ได้ว่ากลุ่มวัคซีนเดิม ๆ ที่เคยผลิตและฉีดไปแล้วก่อนหน้านี้ สามารถที่จะมีประสิทธิผลในการต่อต้านและป้องกันสายพันธุ์ใหม่นี้ได้ เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนลดความกังวลได้อย่างฉับพลัน

ในกรณีฐานแบบนี้เชื่อว่ามาตรการเข้มงวดต่าง ๆ ที่ออกมานั้น จะจำกัดอยู่เพียงแค่การเดินทางระหว่างประเทศเท่านั้น ประเมินกรอบแนวรับแรกของ SET Index ที่บริเวณ 1,580 จุด และแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,550 จุด

แต่หากในกรณีแย่สุด หากเริ่มพิสูจน์ได้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีความสามารถในการหลบหลีกวัคซีนตัวเดิมได้ จนกระทั่งถึงต้องมีการพัฒนาวัคซีนและนับหนึ่งฉีดกันใหม่ มีโอกาสสูงทีเดียวที่ SET จะหลุดระดับแนวรับสำคัญที่ 1,550 จุด เนื่องจากในกรณีนี้เราเชื่อว่าการ Lockdown จะไม่ได้เป็นเพียงแค่ลักษณะของการปิดชายแดนแล้ว แต่คงต้องถึงขั้นกลับมาจำกัดการใช้ชีวิตของผู้คนให้อยู่กับบ้านอีกครั้ง สถานการณ์แบบนี้มีแนวโน้มนำมาสู่ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้งหนึ่งได้

นายณัฐชาตกล่าวว่า ช่วงแรกมองกลุ่มหุ้นที่จะโดนผลกระทบทันทีได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางสัญจรระหว่างประเทศ เช่น โรงแรม สายการบิน และสนามบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นบริษัทที่มีธุรกิจในยุโรปก็อาจโดนกระทบมากหน่อย เนื่องจากบางประเทศในแถบนั้นเริ่มระงับการเดินทางเข้ามาของคนที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงแล้ว ไม่นับรวมกับการระบาดที่เพิ่มขึ้นของประเทศในยุโรปกันเองอีกด้วย จึงแนะนำหลีกเลี่ยงบริษัทที่เกี่ยวข้องไปก่อน เช่น MINT, CRC, S, AOT รวมไปถึงกลุ่มหุ้นน้ำมันที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงจากคาดการณ์ Demand ที่ถูกผลกระทบ ณ ขณะนี้

นอกจากนี้ สิ่งที่คงต้องจับตาในช่วงถัดไปก็คือว่าสายพันธุ์ใหม่นี้จะสามารถแพร่ระบาดเข้ามาในไทยได้หรือไม่ หลังล่าสุดเริ่มพบการติดเชื้อในประเทศเอเชียอย่างเช่น ฮ่องกงแล้ว ซึ่งเราหวังว่าจะไม่เกิดเช่นนั้น แต่หากมีข่าวร้ายพบว่าเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย มองว่าวันแรกที่มีข่าวนั้นออกมา ดัชนี SET มีโอกาสจะปรับตัวลงแรงได้ทันที เนื่องจากนักลงทุนจะเริ่มกังวลแล้วว่ามาตรการจำกัดการเดินทางภายในอาจจะเริ่มถูกนำมาใช้อีกครั้ง ซึ่งหากถึงขั้นนี้หุ้นในกลุ่ม Domestic consumption และกลุ่ม Reopening ภายในมีโอกาสที่จะถูกกระทบอย่างหนักได้ มองเป็น Downside risk ที่สำคัญที่สุดของ SET Index ในช่วงถัดไป

“ปัจจัยทั้งหมดข้างต้นอาจทำให้ในระยะสั้นมีการโยกย้ายเม็ดเงินเก็งกำไรเข้าสู่กลุ่มหุ้นที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการระบาดเช่น กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มถุงมือยาง เป็นต้น แต่เราไม่แนะนำนักลงทุนระยะกลาง-ยาว เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากหากพิสูจน์ได้ว่าสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้น่ากลัวมากนัก ราคาหุ้นเหล่านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงแรงได้ทันที” นายณัฐชาต กล่าว

นายณัฐชาตกล่าวว่า หากตัดประเด็นสายพันธุ์ใหม่นี้ออกไป และโฟกัสไปที่พัฒนาการของโรคโควิดสายพันธุ์เดิมในแต่ละประเทศ ณ ขณะนี้จะพบว่าโซนยุโรปยังคงมีการระบาดที่รุนแรงต่อเนื่องจนนำมาสู่มาตรการจำกัดการเดินทางของคนในประเทศที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมองกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยสำหรับทั้งการเก็งกำไรระยะสั้นและการลงทุนระยะกลางเพื่อคาดหวัง Earnings momentum เชิงบวกที่แน่นอนไปยังกลุ่มหุ้นส่งออกสินค้าอาหาร/เกษตรของไทย ที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จาก Demand ที่สูงขึ้น ไม่นับรวมกับอานิสงส์ปัจจัยเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าอย่างมากอยู่ ณ ขณะนี้ เลือก XO และ ASIAN เป็น Top pick ของกลุ่มต่อไป