
โบรกฯชูหุ้นเด่นสวนกระแส “โอไมครอน”โควิดกลายพันธุ์ “บล.กสิกรไทย” เชื่อไทยไม่ล็อกดาวน์ ยกเว้นอัตราการตายทั่วโลกพุ่ง ประเมินหุ้นไทยแนวรับ 1,580 จุด มั่นใจไม่ดิ่งหนักเหมือนไตรมาส 3/2564 แนะนำกลุ่มเรือและชิปปิ้ง ระบุกรณีเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด แนะนำนักลงทุน “ขายล้างพอร์ต”สินทรัพย์เสี่ยง ฟาก “บล.เอเซีย พลัส” มองระยะสั้นตลาดหุ้นไทยผันผวน เงินทุนเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เปิดโผ 4 กลุ่มหุ้น ยืนสวนกระแสโควิด“outperform” กว่าตลาด
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความน่ากังวลของโอไมครอน (Omicron) ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็วกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า แม้ขณะนี้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเชื้อจะรุนแรงแค่ไหน ต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในแอฟริกาใต้ต่อเนื่อง
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- พระราชทานอภัยโทษ คดีทักษิณ ที่มาวาระอันเป็นมงคล วโรกาสสำคัญ
ขณะที่ผู้พัฒนาวัคซีนกำลังปรับสูตรให้รองรับสายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะรู้ผลในอีก 1 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประเทศไทยคงจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนปีที่แล้ว เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรอยู่ในระดับสูง
“กรณีเดียวที่จะกลับไปล็อกดาวน์ คือ อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนทั่วโลกสูงกว่าตัวเลขเดิมไปมาก ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2%”นายสุนทรกล่าว
ทั้งนี้ ประเมินแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่บริเวณ 1,580 จุด มองจะไม่แย่เหมือนช่วงไตรมาส 3/2564 ที่ย่อตัวลงไปบริเวณ 1,520 จุด โดยหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (reopening) ถูกเทขายหนัก เพราะนักลงทุนกังวลว่าการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจจะมีการปิดน่านฟ้าไปสักระยะหนึ่งในบางประเทศ ทำให้กระทบการเดินทาง
แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ถ้าสถานการณ์โควิดมีความชัดเจน ทั้งวัคซีนและยารักษา หุ้นกลุ่ม reopening จะฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว
“ประเมินว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดกลายพันธุ์ คือ 1.หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่รักษาโควิด 2.หุ้นกลุ่มถุงมือยาง 3.หุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้ง และ 4.หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งได้ประโยชน์ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม แต่แนะนำว่า รีบาวนด์รอบนี้ เป็นโอกาสในการขายทำกำไร (take profit) ในหุ้นโรงพยาบาลและหุ้นถุงมือยาง เพราะจากรายงานข่าวระบุว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนไม่ป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ในขณะที่ราคาหุ้นถุงมือยางลดลงต่อเนื่อง”
นายสุนทรกล่าวอีกว่า ในส่วนหุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้งลงทุนได้ เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่มีการนำเข้าส่งออก ซึ่งจะมีการตรวจโควิดกลายพันธุ์เข้มต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นซัพพลายของเรือจะแออัด จึงแนะนำ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 58 บาท และ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ให้ราคาเป้าหมายที่ 24.80 บาท
ขณะที่หุ้นกลุ่มไอซีทีได้รับผลกระทบโควิดจำกัด และพื้นฐานอุตสาหกรรมเปลี่ยนจากผู้เล่น 3 ราย เหลือเพียง 2 ราย ทำให้การแข่งขันลดลง และกำไรภาพรวมดีขึ้น แนะนำ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ให้ราคาเป้าหมายที่ 229.54 บาท
“หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) ซึ่งผิดไปจากที่กล่าวไปข้างต้น พบอัตราการเสียชีวิตที่สูง วัคซีนต้านไม่อยู่ ต้องคิดค้นวัคซีนชนิดใหม่ แนะนำนักลงทุนต้อง risk off ขายล้างพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, บิตคอยน์ เพราะราคาจะดิ่งลงหนัก” นายสุนทรกล่าว
ขณะที่นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้มีความกังวลว่าโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะบั่นทอนประสิทธิภาพวัคซีนและจะนำไปสู่การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังติดตามอยู่ โดยจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จะทำให้ภาพตลาดหุ้นระยะสั้นอยู่ในภาวะผันผวน เพื่อรอพัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเม็ดเงินเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตร เป็นต้น
“หุ้นที่สามารถยืนสวนกระแสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ในช่วงเกิดโควิดในแต่ละรอบกับตลาดหุ้น มีประมาณ 3 รอบ คือ 1.สมุทรสาคร 2.ทองหล่อ และ 3.สายพันธุ์เดลต้า
ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มัก out perform กว่าตลาด คือ 1.หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2.แพ็กเกจจิ้ง 3.โรงพยาบาล และ 4.ถุงมือยาง (ดูตาราง) ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผ่านการปรับฐานมามากแล้วกว่า 10% จากจุดสูงสุดของตั้งแต่ต้นปี และพบว่ารีเทิร์น 3 ช่วงที่เกิดโควิดมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ” นายชาญชัยกล่าว