สมาคมธนาคารไทย ผนึกธปท. พัฒนาเทคโนโลยี หนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ

สมาคมธนาคารไทย ผนึก “ธปท.-คลัง-เครือข่ายภาคเอกชน” พัฒนาเทคโนโลยีรองรับธุรกรรมการซื้อ-ขายรูปแบบดิจิทัล ช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ ด้าน รมว.คลัง พร้อมปรับกฎระเบียบภาครัฐ หนุนเอสเอ็มอีเติบโต หวังเคลื่อนเศรษฐกิจปี’65

วันที่ 15 ธันวาคม 2564 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและซ้ำเติมข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบเดิมๆ ของผู้ประกอบการ SMEs สมาคมธนาคารไทยจึงได้หารือกับธปท. สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น ผ่านโครงการ Digital Supply Chain Finance ภายใต้แผนงาน Smart Financial and Payment Infrastructure for Business

ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับธุรกรรมการซื้อ-ขายในรูปแบบดิจิทัล ทดแทนการออกและรับเอกสารทางการค้าในรูปแบบกระดาษ ที่มีความไม่คล่องตัว มีข้อกังวลเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร และการใช้เอกสารเวียนขอสินเชื่อซ้ำซ้อน (Double Financing) ทำให้ยากต่อการพิจารณาสินเชื่อ โดยโครงการนี้จะเป็นตัวกลางลดช่องว่างกลุ่มธุรกิจให้เข้าถึงเงินทุน โดยพิจารณาข้อมูลการซื้อขายช่วงที่ผ่านมาแทนหลักประกัน

“แพลตฟอร์มนี้จะเป็นตัวกลางช่วยลดช่องว่างระหว่างกลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้ซื้อ ซึ่งมีสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากกว่า ให้มีโอกาสช่วยเหลือซัพพลายเออร์ของตน เพราะขั้นตอนการขายสินค้าหรือบริการของ SMEs หลังจากออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) ต้องรอรับการชำระเงินตามเครดิตเทอม อาจมีผลต่อสภาพคล่อง”

ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ขาย (SMEs) เพื่อให้ได้รับเงินค่าขายสินค้าทันทีเมื่อการส่งสินค้าเสร็จสิ้น หรือเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ซื้อเพื่อชำระเงินให้คู่ค้าได้เร็วขึ้น โดยในอนาคตข้อมูลพฤติกรรมผู้ขายและผู้ซื้อภายใต้โครงการ Digital Supplychain Finance รวมถึงข้อมูลทางเลือกอื่นๆ เช่น

ประวัติการชำระค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายรายเดือนโทรศัพท์มือถือ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น จะถูกจัดส่งให้บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และด้วยเทคโนโลยี AI และ Data Analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จะสามารถพัฒนาขีดความสามารถทางด้าน Alternative Credit Scoring สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีของสมาคมธนาคารไทย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการ Digital Supplychain Finance เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการยกระดับธุรกิจ SMEs เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่พยายามผลักดันให้ธุรกิจรายย่อยมีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานในระบบการเงินที่สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอีกทางหนึ่ง

“2 ปีที่ผ่านมาเอสเอ็มอีรับผลกระทบจากโควิด ต้องการทั้งเงินทุน สินเชื่อ และสภาพคล่อง โครงการนี้จะทำให้ระบบการเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบขึ้น และระยะต่อไปภาครัฐก็จะเชื่อมดิจิทัลซัพพลายเชนให้ได้ ส่วนที่เป็นปัญหาอุปสรรคที่ติดขัดในเรื่องกฎระเบียบของภาครัฐ กระทรวงการคลังก็ยินดีที่จะสนับสนุน เพื่อให้เอสเอ็มอีเติบโต และเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2565”

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business จะเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย กระทรวงการคลัง ธปท. หน่วยงานภาครัฐ ภาคธนาคาร และภาคธุรกิจ ร่วมกันพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชำระเงินของภาคธุรกิจ ข้อมูลผู้ให้บริการทางการเงินและระบบภาษีของภาครัฐเข้าด้วยกันผ่านกระบวนการดิจิทัล

สำหรับโครงการนี้ ประกอบด้วยบริการหลัก 2 ด้าน ด้านแรก คือ บริการด้านการค้าและการชำระเงิน ที่จะเชื่อมข้อมูลข้างต้นอย่างครบวงจร ด้านที่สอง คือ บริการด้านสินเชื่อ หรือ Digital Supplychain Finance เป็นการนำข้อมูลจากบริการด้านการค้าและการชำระเงินมาใช้ประโยชน์ในการให้สินเชื่อเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิ-19 ได้อย่างทันการณ์และพร้อมปรับตัวสู่โลกใหม่

“ถ้าจะเปรียบ “พร้อมเพย์” เป็น game changer ที่ช่วยผลักดันการชำระเงินดิจิทัลของภาคประชาชน “โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business” ที่มีบริการ Digital Supplychain Finance เป็นองค์ประกอบ ก็จะสามารถเป็น game changer ที่จะช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่กระแสดิจิทัลได้ดีเช่นกัน”