ธปท.ย้ำดูแลกรอบเงินเฟ้อภายใต้บริบทโควิด-19

เงินสด-ธนบัตร

ธปท. เปิดประกาศนโยบายการเงินประจำปี 2565 เผยคลัง-กนง.คงกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% ยันเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจใต้สถานการณ์โควิด-19 ลั่น ชี้โควิดกระทบเศรษฐกิจโลก-ไทย ส่งผลเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าอยู่ระดับต่ำใกล้เคียงกรอบล่างเป้าหมาย เหตุกิจกรรมเศรษฐกิจลดลง-รายได้และกำลังหดตัว-ตลาดแรงงานเปราะบาง พร้อมจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุก 6 เดือน หนุนดำเนินนโยบายการคลัง-การเงินสอดประสานกัน

วันที่ 20 ธันวาคม 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดยเป็นความตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ตกลงร่วมกัน ดังนี้

1.พลวัตและแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เศษฐกิจโลกและไทยได้รับผลกระทบอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีความยืดเยื้อ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมาและในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน

โดยมีปัจจัยสำคัญคือ (1) กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงในวงกว้างตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป (2) รายได้และกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ จากตลาดแรงงานที่มีความเปราะบางตามการเพิ่มขึ้นของผู้ว่างงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

และ (3) ราคาสินค้าที่ปรับลดลงจากพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทั้งจากการแข่งขันด้านราคาผ่านธุรกิจ e-commerce และต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานในกระบวนการผลิต (automation) มากขึ้น

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อไทยในอนาคตอาจจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ความผันผวน
ของราคาพลังงานและราคาอาหารสด การเกิดภาวะซะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption)
และการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) ที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นได้

2.การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2565 รวมถึงการดำเนินนโยบายในระยะข้างหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2565 โดยการกำหนดเป้าหมายที่ 1-3% ดังกล่าว ยังมีความเหมาะสมภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เนื่องจาก

(1) แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าและในระยะปานกลางจะเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของเป้าหมายและไม่ได้ปรับลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงาน การชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานและปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)

(2) สามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนได้ดี โดยในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่กำหนด (well-anchored) และ (3) การกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีความกว้าง 2% มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงช่วยเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน สามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก และยังมีความไม่แน่นอนสูง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้มีความสอดประสานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างตรงจุดและทันการณ์

ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ทั้งในช่วงระยะสั้น กลาง และยาว โดยรวดเร็ว มั่นคงเและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และสร้างรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งในปัจจุบัน กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และพร้อมใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในลักษณะผสมผสาน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

3.การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงินกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือ เมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ

1.การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา 2.แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ 3.การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

4. การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงินไปอีกระยะหนึ่ง รวมถึงอาจมีความผันผวนและมีพลวัตที่เปลี่ยนไปได้หลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สิ้นสุดลง

ดังนั้น กนง. จะติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว รวมถึงประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่มีต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย

นอกจากนี้ กนง.จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร 5.การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง.อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา