ผวาบีอีเบี้ยวจ่าย”คนไทย”ขนเงินช็อปกองทุนเทศรีเทิร์นสูง

มอร์นิ่งสตาร์ฯชี้ครึ่งแรกปี”60 รายย่อยหนีลงทุนไทย หวั่นบี/อีผิดนัดชำระ เผยตลาดหุ้นไทยซบ ขนเงินซื้อกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 1.63 แสนล้านบาท ส่วนกองทุนไทยโดนถล่มขาย 2.49 หมื่นล้านบาท เปิด 3 บลจ.เงินไหลออกมากสุด “โซลาริส-แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์-ซีไอเอ็มบีฯ”

นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 กองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรมมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 138,282 ล้านบาท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศมากกว่าลงทุนในประเทศไทย ทำให้ครึ่งปีแรกนี้มีเงินไหลไปลงทุนในต่างประเทศสุทธิคิดเป็น 163,155 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนขายสินทรัพย์ในประเทศออกจำนวนรวมกว่า 24,873 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมการลงทุน พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงความนิยมลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงหรือเน้นการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้กองทุนประเภท กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศแบบกำหนดอายุ มีเงินไหลเข้าสูงสุด 2.16 แสนล้านบาท รองลงมา คือ กองทุนตราสารหนี้โลก 8.15 หมื่นล้านบาท และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 7.89 หมื่นล้านบาท

โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้จำพวกตั๋วแลกเงินระยะสั้น (ตั๋วบี/อี) ในประเทศ ที่ยังคงมีปัญหาอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการลงทุนในตราสารดังกล่าว จนทำให้ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือจำนวนไม่ถึง 90,000 ล้านบาท จากที่เคยอยู่ระดับสูงสุดกว่า 520,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2558ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบแคบ จึงทำให้อัตราผลตอบแทน (รีเทิร์น) ของกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่สูง ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ไทย ก็ให้ผลตอบแทนต่ำเช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ 2% กว่า นักลงทุนจึงให้ความสนใจลดลง

“เรายังคงพบว่าภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนไทยโตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกโต 3.64% ทำให้ยอดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทยมาอยู่ที่ 4.82 ล้านล้านบาท เพียงแต่นักลงทุนจะหันไปซื้อกองทุนต่างประเทศมากกว่า เพราะมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดี” นายกิตติคุณกล่าว

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง นายกิตติคุณคาดว่าแนวโน้มการลงทุนในกองทุนรวม จะยังใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยนักลงทุนน่าจะยังคงสนใจซื้อกองทุนรวมต่างประเทศมากกว่ากองทุนรวมในประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยในประเทศไทยยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้สูงนัก ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยก็ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ไม่มากเช่นกัน

ทั้งนี้ มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช รายงานว่าสำหรับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีเงินไหลออกสูงสุด 3 อันดับ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ได้แก่ บลจ.โซลาริส ไหลออกประมาณ 2.06 หมื่นล้านบาท รองลงมา คือ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ไหลออก 1.49 หมื่นล้านบาท และ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ไหลออกราว 1.29 หมื่นล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก บลจ.ในกลุ่มนี้มีการลงทุนในตั๋วบี/อี ทำให้นักลงทุนกังวลความเสี่ยง จนมีการถอนเงินลงทุน หรือไม่ซื้อหน่วยลงทุนต่อ (Roll Over) อยู่บ้าง


ส่วน บลจ. 3 อันดับแรกที่มีเงินไหลเข้าสุทธิมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ บลจ.ทหารไทย มีเงินไหลเข้า 4.73 หมื่นล้านบาท บลจ.บัวหลวง 3.91 หมื่นล้านบาท และ บลจ.กรุงไทย 3.47 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับอานิสงส์จากเงินที่ไหลเข้าซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ