โบรกฯ ประเมินปี’65 โอไมครอนกดดันตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อรัฐบาลไม่ล็อกดาวน์เข้มงวด ผลกระทบจำกัด คาด GDP ปีหน้าโต 3.5%-กำไร บจ.แตะ 9.4 แสนล้านบาท “หุ้นใหญ่” คัมแบ็ค เกณฑ์กำกับซื้อขาย-เก็บภาษีขายหุ้น” ชะลอแรงเก็งกำไรหุ้นเล็กจากที่ร้อนแรงลงในปี 64
วันที่ 30 ธันวาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการซื้อขายในปี 2564 ปัจจัยต่างประเทศไม่มีประเด็นเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ โดยน้ำหนักค่อนไปทางเริ่มผ่อนคลายต่อโอไมครอนในช่วงสั้น ทำให้เกิดแรงซื้อกลับหลังจากปรับฐานลงไปช่วงก่อนหน้า หนุนตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นทำ New high ต่อ ทั้งดัชนี S&P500 และ Dow jones ยกเว้น Nasdaq ปิดลบเล็กน้อย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ส่วนสินทรัพย์ปลอดภัย อิงผลตอบแทนพันธบัตร(Bond yields) สหรัฐ อายุ 10 ปี ปรับขึ้นแรงอยู่ที่ 1.55% จาก 1.46% ในวันก่อนหน้าและแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นคาดมีโอกาสทดสอบ 1.6% เป็นบรรยากาศบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต แนะนำ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ซื้อราคาเป้าหมาย 38 บาท ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังแกว่งตัวสวนทางกันไม่สอดคล้องไปทางเดียว
ในไทยยังติดตามพัฒนาการสถานการณ์โควิดสายพันธุ์โอไมครอน ล่าสุดเมื่อวานนี้ผู้ติดเชื้อโอไมครอนสะสมอยู่ที่ 740 ราย และพบแล้ว 33 จังหวัดทั่วประเทศไทย ติดตามผู้ติดเชื้อรายใหม่ New Case ทั่วโลกหลังเทศกาลปีใหม่ช่วงต้นปี 2565 เป็นอย่างไร อิงฉากทัศน์ที่กระทรวงสาธารณะสุขคาดการณ์ หลังเทศกาลปีใหม่ เดือน ม.ค.-ก.พ.65
ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นวันละ 1- 3 หมื่นรายต่อวัน ประกอบกับหากประเมินอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 2 โดยส่วนใหญ่ อัตราการฉีด เกิน 60-70% ของประชากร แต่งานวิจัยหลายที่ให้ความเห็นตรงกันว่าทั่วโลกควรจะเร่งฉีดเข็ม 3 (ปัจจุบันไทย เข็ม 3 ฉีดไปเพียง 6.9% ของประชากร) ถือว่ายังน้อยเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อ โดยรวมประเมินประเด็นโควิดน่าจะยังเป็นประเด็นกดดันหรือ Overhang ตลาดหุ้นไทยต่อ
เชื่อรัฐบาลไม่ล็อกดาวน์เข้มงวด
ต้นปี 2565 อิงฉากทัศน์ที่สาธารณสุขคาดผู้ติดเชื้อ Covid จะกลับไปยืนเหนือ 1 หมื่นราย ฝ่ายวิจัยประเมินรัฐไม่น่าจะคุมเข้มกลับไปล็อกดาวนบบเข้มงวดเหมือนในปี 2563 หรือไตรมาส 3/64 แต่น่าจะเป็นการดำเนินงานในบางพื้นที่ หรือบางกลุ่มธุรกิจ โดยรวมประเมินผลกระทบหากมีการคุมเข้มกิจกรรมเศรษฐกิจ ต่อประมาณการณ์ GDP Growth ไทย และ กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2565 คาด Downside จำกัด หรือไม่กระทบต่อคาดการณ์อย่างมีนัยยะ
GDP ปีหน้าโต 3.5%
โดยเศรษฐกิจไทยปี 2565 ฝ่ายวิจัยคาด GDP Growth ไทยขยายตัว 3.5% จากปีก่อน (Consensus คาด 3.9%) หากคุมเข้มกิจกรรมเศรษฐกิจ น่าจะเปิด Downside ต่อ GDP ปี 65 ไม่มากนัก คาดจะไม่รุนแรงเหมือนในงวดไตรมาส 2/63 ที่ GDP หดตัวแรง 12.1% ประเมินผลกระทบน่าจะใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 3/64 คาดการณ์ทั้งปี 65 คาดจะยังเติบโตในระดับ 3% ขึ้นไป
(ใส่รูปผลกระทบล็อกดาวน์ปี 63-64)
กำไร บจ.แตะ 9.4 แสนล้าน
ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 65 ฝ่ายวิจัยคาด อยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็นคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS65F) ที่ 81.8 บาท/หุ้น เติบโตราว 12% ประเมินผลกระทบต่อการ Revise กำไรลงในปี 65 คาดจำกัดเช่นกัน เพราะประเมินจากในอดีต กำไรบริษัทจดทะเบียนรายไตรมาส 2 รอบที่โดนผลกระทบโควิด พบว่า เซ็กเตอร์ที่โดนผลกระทบลดลงอย่างชัดเจน พบว่า เซ็กเตอร์ที่โดนผลกระทบหนักนั้น มีเพียง 5 เซ็กเตอร์ โดยขาดทุน 3 เซ็กเตอร์ได้แก่ ท่องเที่ยว, ขนส่ง, วัสดุก่อสร้าง (ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 4.1% ของกำไรปกติทั้งหมด) ขณะที่อสังหาฯ -40%, พาณิชย์ -45% (12.7% ของกำไรบริษัทจดทะเบียน) เป็นต้น
ปีหน้าหุ้นใหญ่ Outperform
โดยช่วงหลังมานี้ สภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบ จึงทำให้นักลงทุนสนใจตลาดหุ้นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่สนใจไปที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก จนทำให้ Outperform มากเกิน อาทิ MAI, SSET ที่ปรับตัวขึ้น 72% และ 62% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(ytd) ตามลำดับ ขณะที่ SET50 ปรับตัวขึ้น 8% เท่านั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยคาดปีหน้าหุ้นใหญ่จะกลับมา Outperform อีกครั้งจาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1.กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโมเมนตัมฟื้นเข้าสู่ระดับเดียวกับปี 2562 (ก่อนเกิด COVID) โดยสมมุติฐานปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS65F 81.8 บาท/หุ้น (เริ่มขยับเข้าใกล้ EPS62 ช่วงก่อนเกิด Covid-19 ที่ 88.13 บาท/หุ้น) ซึ่งถือเป็น Upside เพิ่มเติมจากที่ปกติเติบโต 11% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
2.ตลาดหุ้นไทยยัง Laggard เมื่อเทียบกับ MSCI World ตั้งแต่เกิด COVID รอบแรก โดย SET Index ปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิด Covid-19 เพียง 5.1%, ขณะตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 34.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้ง 2 ปัจจัย ถือเป็นแรงดึงดูดให้เงินทันต่างช่าติ(Fund Flow) ที่มี Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อจากในเดือน ธ.ค.64 ที่ยอดซื้อสุทธิสะสมสูงเป็นอันดับ 1 ของปี รวมถึง Fund Flow ในประเทศที่ต้องการหาผลตอบแทนทางการเงินที่สูงขึ้น ไหลเข้ามาสะสมตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมในช่วงต้นปี 2565
คาด SET Index วันนี้แกว่งกรอบ 1,635-1,658 จุด โดยกลยุทธ์เน้นหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี เนื่องจากราคาค่อนข้างที่จะ Laggard และในปีหน้าไทยเริ่มมีข้อจำกัดในการเก็งกำไร ทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มความเข้มข้นของเกณฑ์ Cash Balance, คลังจะพิจารณาเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นไทย ส่งผลให้นักลงทุนอาจลดปริมาณการเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาร้อนแรงในปี 2564 จน และกลับมาพิถีพิถันในการเลือกหุ้นในมุมพื้นฐานมากขึ้น โดยเลือก CPF, SCC, KBANK เป็น Top pick