SCBS หวั่นโอมิครอนระบาดหนักฉุด GDP โตแค่ 2.6% กำไร บจ.ใกล้ 0%

บล.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS

บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) ประเมินดัชนี SET Index ปีนี้ที่ 1,660 จุด ผลตอบแทนหุ้นไทยโตได้ 8% ด้าน GDP โตระดับ 3-4% กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 6% หวั่นโอมิครอนระบาดหนัก ถึงขั้น “ปิดเมือง-ปิดประเทศ” คาดฉุด GDP โตเหลือ 2.6% กำไร บจ.โตใกล้ 0%

วันที่ 6 มกราคม 2565 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะกลับเข้าสู่ภาวะก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยจากฐานต่ำปีที่แล้วจะทำให้ปีนี้อัตราการเติบโตของ GDP จะอยู่ราว 3-4% (มองในกรณีดีสุด) แต่หากเจอผลกระทบการระบาดโควิดโอมิครอนอีก และเปิดประเทศได้ช้าก็ทำให้ GDP ต่่ำกว่า 3%

สุกิจ อุดมศิริกุล

โดยในกรณีเลวร้ายหากไม่สามารถควบคุมการแพร่ะบาดโควิดโอมิครอนได้ ถึงขั้นต้องปิดเมืองปิดประเทศอีก อาจส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงเหลือ 2.6% (กรณีเลวร้ายที่สุด) ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตใกล้ 0%

โดยเรื่องสำคัญคือนโยบายการเงินที่ถูกกระตุ้นมาตลอด 2 ปี ในปีนี้จะคาดหวังได้น้อยลง เพราะรัฐบาลทั่วโลกใช้เงินไปเยอะ ดังนั้นในปีนี้ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกคงมีโอกาสขึ้นแน่ ๆ รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีขึ้นเพื่อทำให้รายได้การคลังมีโอกาสกลับมาเพิ่มได้

ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลการคลี่คลายการล็อกดาวน์ แต่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ปรับตัวลงช่วงนี้คือเงินเฟ้อสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน, อาหาร ซึ่งล่าสุดราคาหมูทำสถิติสูงสุด เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน

ขณะที่คาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 8 ล้านคน ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 6% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยประเมินผลตอบแทนดัชนี SET Index ได้ที่ 5% ภายในสิ้นปี 65 และ 8% เมื่อรวมเงินปันผล

ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุนในปี 2565 ต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต เชื่อว่าปัจจัยมหภาคเริ่มลดบทบาท การมองดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปกว่านี้แรง ๆ จากระดับ 1,600 จุด ไปสู่ระดับ 1,700-1,800 จุด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์คงไม่สูงแล้ว โดยประเมินดัชนี SET Index สิ้นปีนี้ในกรอบ 1,550-1,750 จุด ประเมินค่ากลางหรือระดับพื้นฐานที่เหมาะสม 1,660 จุด หมายความว่าจากนี้ไปถ้าประมาณการถูกในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ส่วนที่เหลือของปีนี้คือการสะวิงของดัชนี

นายสุกิจกล่าวต่อว่า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนคือเลือกธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวแล้ว โดยแนะนำหุ้นน่าสนใจตลอดทั้งปีนี้ประมาณ 10 บริษัท ประกอบด้วย

1.KBANK: หนึ่งในผู้นำด้าน Digital banking คาดกำไรสุทธิปี 2565 มีอัพไซต์จากต้นทุนทางการเงิน (credit cost) ที่มีโอกาสลดลง

2.AMATA: คาดว่ายอดการโอนที่ดินจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/64 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จากลูกค้าหลักในกลุ่มพลังงาน, ยานยนต์ และโลจิสติกส์

3.ZEN: ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรปี 2565

4.LH: ปี 2565 คาดได้รับแรงหนุนจากการผ่อนปรน LTV บ้านหลังที่ 2 และ 3 เต็มที่ เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมของการเปิดโครงการใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น 50%

5.GULF: กำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.4% ต่อปีในช่วง 7 ปีข้างหน้า ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH ช่วยสร้างความมั่นคงของกำไรสุทธิ

6.DELTA: ได้รับประโยชน์จากฐานลูกค้าในกลุ่ม EV car, พลังงานสะอาด และโทรคมนาคม

7.ADVANC: มีโอกาสจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นสำหรับปี 2565 เนื่องจากงบฯลงทุนลดลง รวมถึงได้รับประโยชน์จากเทรนด์ธุรกิจ Metaverse

8.ONEE: ประเมินธุรกิจโฆษณาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปี 2565

9.SECURE: ได้รับประโยชน์จากโลกในยุคดิจิทัลที่ทำให้ความปลอดภัยในเรื่องของข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น

10.XPG: ผลประกอบการปี 2565 พลิกฟื้น (Turnaround) หลังเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset)