วิจัยกรุงศรีเปิด 3 เหตุผล โอมิครอนกระทบการบริโภคระยะสั้น

เศรษฐกิจ
Photo by Jack TAYLOR / AFP

วิจัยกรุงศรีประเมินผลโอมิครอนกระทบการบริโภคแผ่วระยะสั้น เชื่อมาตรการภาครัฐเม็ดเงิน 1.4 แสนล้านบาทช่วยหนุนใช้จ่ายภายในประเทศ ส่วนความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.สูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 86.8 จาก 85.4 เดือน พ.ย. 2564

วันที่ 18 มกราคม 2565 วิจัยกรุงศรีรายงานว่าการบริโภคอาจชะลอลงในระยะสั้น แม้ความเชื่อมั่นในช่วงปลายปีก่อนทยอยปรับขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2564 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 46.2 จาก 44.9 เดือนพฤศจิกายน โดยปรับดีขึ้นในทุกองค์ประกอบ

ปัจจัยหนุนจากผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาด จำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง และการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมในช่วงกลางเดือนธันวาคมเพื่อหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลปีใหม่

ทั้งนี้ ความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจจะสะดุดลงในช่วงต้นปี เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น และผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนที่ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันของไทยกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

โดยวิจัยกรุงศรีประเมินในกรณีฐาน คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะแตะระดับสูงสุดในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายจึงอาจชะลอลงเพียงในระยะสั้น เนื่องจากเหตุผล 3 ข้อ ดังนี้

1.การฉีดวัคซีนที่กว้างขวางขึ้น และการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มมากขึ้น จะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความรุนแรงของการระบาดรอบนี้

2.คาดว่าจะไม่มีมาตรการล็อกดาวน์

3.การบริโภคมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งโครงการช้อปดีมีคืน คนละครึ่งเฟส 4 และเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ราว 1.4 แสนล้านบาท

ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นต่อเนื่อง การใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมหลักเริ่มทยอยกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการระบาดแล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2564 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 86.8 จาก 85.4 เดือนพฤศจิกายน

ผลบวกจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศภายหลังจากทางการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดเพิ่มเติม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้มากขึ้นทางภาคการผลิต การค้า และการเดินทางในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกที่เติบโตดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า

การฟื้นตัวของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศช่วยหนุนให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมทยอยปรับดีขึ้น และล่าสุดอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบัน โดยภาพรวมแม้จะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 (เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 65.8% vs ก่อนระบาดเฉลี่ยอยู่ที่ 67.6%)

แต่เริ่มมีบางอุตสาหกรรมสำคัญที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตกลับไปสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ เวชภัณฑ์ยา แผงวงจรไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์

ขณะเดียวกันการใช้กำลังการผลิตในบางอุตสาหกรรมกำลังเข้าใกล้ระดับก่อนเกิดการระบาด ได้แก่ HDD, เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกของไทยในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 5% บวกกับการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการขยายตัวของการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมในปีนี้