อาคม ชี้เงินเฟ้อความท้าทายปี’65 อาจพุ่งเกินกรอบ 3%

ท่องเที่ยว

รมว.คลัง คาดจีดีพีปีนี้โต 4% เปิด 3 ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจ ชี้เงินเฟ้ออาจพุ่งเกินกรอบ 3% ในบางช่วง ยันรัฐดูแลใกล้ชิดให้อยู่ในกรอบ ส่วนราคาพลังงาน มอบหมายกระทรวงพลังงานไปดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร

วันที่ 20 มกราคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ายังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีในปี 2565 จะขยายตัวอยู่ที่ 3.5-4% ขณะที่กรอบเงินเฟ้อได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1-3% แม้ขณะนี้สถานการณ์ราคาสินค้าและพลังงานจะทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ โดยยืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯเข้าไปดูแลแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องราคาสุกรฯ ที่ปรับเพิ่มสูงอย่างมาก

ขณะที่ราคาน้ำมัน กระทรวงพลังงานได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด โดยใช้กองทุนน้ำมันฯเข้าไปดูแลให้ราคาพลังงานมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ได้ตรึงราคาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ราคาสินค้าและพลังงานจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งปีแรก

“ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงคลัง ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ที่ 1-3% แม้จะมีบางช่วงที่อาจทำให้เงินเฟ้อใกล้ระดับ 3% หรืออาจเกินกรอบไปบ้าง แต่สถานการณ์ก็ยังไม่แน่ชัด ยังขึ้นอยู่กับการดูแลราคาสินค้าและอาหาร แต่ยืนยันว่าเราจะดูแลไม่ให้เงินเฟ้อเกินกรอบ 3%” นายอาคมกล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในปี 2565 คือ ภาคการส่งออกที่ทำได้ดีในปี 2564 และเชื่อว่าจะส่งโมเมนตัมไปถึงปี 2565 ขณะที่ภาคการท่องส่งเที่ยว ล่าสุด ศบค. มีมติให้นำมาตรการ Test & Go สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยกลับมาใช้ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยทำให้ภาคการท่องเที่ยวในปี 2565 นี้ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา แม้จะยังไม่ถึง 100% ก็ตาม

แต่จากการเริ่มมาตรการไทยแลนด์พาสและมาตรการ Test & Go ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นมา ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมาประมาณ 3-4 แสนคน และยังทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเปิดกิจการได้ เพื่อรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยและรองรับนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยเอง และมีการเรียกให้แรงงานกลับเข้ามาทำงานมากขึ้นด้วย

ขณะที่ในส่วนของแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐนั้น รัฐบาลยังมีเม็ดเงิน 2 ก้อน วงเงินรวม 9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณผูกพันที่ต้องใช้ภายในปี 2565 โดยก้อนแรก เป็นงบประมาณประจำปี วงเงิน 6 แสนล้านบาท และก้อนที่ 2 เป็นงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3 แสนล้าน ขณะที่งบประมาณอื่น ๆ ที่จะเข้าสู่ระบบ คือ งบฯลงทุนของภาคเอกชนที่รัฐบาลให้สัมปทาน ทั้งในการลงทุนในพื้นที่ EEC และท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในปี 2565 ยังมีความท้าทาย ได้แก่ 1.การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะไม่มีความรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์เดลต้า แต่จากการแพร่ระบาดที่ไวกว่า ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยในปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 คนต่อวัน ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากสามารถจำกัดพื้นที่แพร่ระบาดได้ และเดินหน้าฉีดวัคซีนตามแผน ก็จะทำให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นได้

2.ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในช่วงปี 2563-2564 ที่ภาคธุรกิจมีการปิดตัวลง แรงงานกลับสู่ภูมิลำเนา ซึ่งพบว่าแรงงานมีการประกอบชีพใหม่ และอาจไม่กลับเข้าสู่ระบบแรงงาน ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวก็เดินทางกลับประเทศจำนวนมาก ทำให้ล่าสุดกระทรวงแรงงานได้เปิดรับคำขอการเดินทางเข้ามาทำงานในไทยจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ดังนั้น เชื่อว่าสถานการณ์แรงงานขาดแคลนอาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น

3.สถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากราคาพลังงานและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเรื่องราคาสินค้านั้น รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯเข้าไปกำกับดูแล ส่วนราคาพลังงานนั้น มอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันฯจะเข้ามาเป็นกลไกช่วยเรื่องของราคาน้ำมัน