MTC โชว์กำไรปี’64 อยู่ที่ 4,945 ล้าน เคาะจ่ายปันผล 0.37 บาท/หุ้น

ชูชาติ เพ็ชรอำไพ

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล กางแผนปี’65 ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อทะลุ 1 แสนล้านบาท พร้อมลุย 2 ธุรกิจใหม่ “สินเชื่อจักรยานยนต์ใหม่-ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง” ดันพอร์ต 4 ปี แตะ 2 แสนล้านบาท ส่วนผลงานปี’64 โกยกำไรรวม 4,945 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผล 0.37 บาทต่อหุ้น 17 พ.ค.นี้

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) ผู้นำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และนาโนไฟแนนซ์ของเมืองไทย เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมการแข่งขันในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถ และสินเชื่อส่วนบุคคลในระดับรากหญ้าจะมีความรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

แต่ด้วยโมเดลการดำเนินธุรกิจของบริษัทมีความรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับตัวสูงขึ้น และส่วนหนึ่งมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่บริษัทยังคงรักษาระดับความสามารถทำกำไรได้ จากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยส่งผลให้ตัวเลขผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 4,945 ล้านบาท โดยในปี 2564 มีรายได้รวม 16,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,286 ล้านบาท หรือ 8.73% เทียบปี 2563 มีรายได้รวม 14,733 ล้านบาท

“ภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ของ MTC ออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง และเรายังคงรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.39% เท่านั้น โดยในปี 2564 ยอดพอร์ตสินเชื่อรวม 91,812 ล้านบาท เติบโต 29.37% เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวมในปี’63”

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2564 (มกราคม-ธันวาคม 2564) ในอัตรา 0.37 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28  เมษายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 17 พฤษภาคม 2565

นายชูชาติกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อจะขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 100,000 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลักคือ เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) และธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่ คือ เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) และเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ (MTPL) เป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำธุรกิจในอนาคต โดยมีการวางแผนการทำตลาดทั้งลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการเข้าหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการผ่านการดำเนินงานของสาขาที่มีบริการมากกว่า 5,800 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงการเปิดสาขาใหม่กว่า 700 สาขาต่อปี

ส่วนแผนการเติบโตในอีก 4 ปี ข้างหน้าคือปี 2569 บริษัทวางเป้าพอร์ตสินเชื่อทะลุ 200,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว เทียบปี 2565 ที่วางเป้าทะลุ 100,000 ล้านบาท ซึ่งการจะก้าวสู่เป้าหมายดังกล่าว บริษัทต้องเติบโต 20-25% ต่อปี ตลอด 4 ปี รวมทั้งควบคุมหนี้เสียไม่เกิน 2% และลดดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสมกับลูกค้า

นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับเงื่อนไขในการให้บริการที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ MTC ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยให้พนักงานรับผิดชอบการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของสาขา โดยการเปิดสาขา เน้นจุดที่มีชุมชน และมีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมากเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าและลดข้อร้องเรียน

ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในอนาคต นอกจากธุรกิจหลักของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่เน้นเรื่องสินเชื่อทะเบียนรถ, สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์, สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อที่ดินแล้ว ในปี 2565 บริษัทได้เร่งทำการตลาดเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด ที่ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2565 จะมียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 10,000 ล้านบาท

และบริษัท เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ จำกัด ที่ให้บริการซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง กับกลุ่มลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่มาเพิ่มเติม โดยการเสนอสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, เครื่องใช้และของใช้ในบ้าน ตามนโยบาย ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง ซึ่งทั้ง 2 บริษัท ถือหุ้นโดยเมืองไทย แคปปิตอล เกือบ 100%

ประธานกรรมการบริหาร MTC กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ความต้องการสินเชื่อกลับมาเติบโตได้ดี และรัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณคลายล็อกดาวน์เพิ่มเติม ทำให้บริษัทสามารถรุกตลาดและขยายสาขาได้มากขึ้น

อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากการเปิดบริการเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ ทำให้ขยายฐานลูกค้าและกลุ่มสินเชื่อให้มีความหลากหลาย ทำให้เป็นปัจจัยผลักดันสินเชื่อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง