BEM รายงานกำไรสุทธิปี 2564 ชี้เอฟเฟ็กต์โควิดฉุดปริมาณ “รถที่ใช้ทางด่วน-ผู้โดยสารรถไฟฟ้า”
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถึงผลการดำเนินงานของบริษัทเปรียบเทียบระหว่างปี 2564 และปี 2563 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มจากต้นปี 2563 กลับมารุนแรงเป็นระลอกอีกครั้ง ในปี 2564 ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อกิจกรรมการเดินทาง เป็นผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าลดลง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการเดินทางฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมของภาครัฐ ส่งผลให้อัตราการฟื้นตัวของปริมาณผู้ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้า ณ สิ้นปี 2564 เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดของปีในเดือนสิงหาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 77.6 และ 226.4 ตามลำดับ
สำหรับปี 2564 แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 แต่ด้วย
การบริหารจัดการต้นทุนประกอบกับการมีเงินลงทุนที่ดี บริษัทจึงมีรายได้เงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้ในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท จำนวน 1,010 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จำนวน 1,041 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.8
โดยปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน 10,726 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 2,764 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.5 จากผลกระทบ COVID-19 โดยรายได้ค่าผ่านทางลดลง 1,695 ล้านบาท รายได้ค่าโดยสารและรับจ้างเดินรถลดลง 1,066 ล้านบาท และรายได้พัฒนาเชิงพาณิชย์ลดลง 3 ล้านบาท ในส่วนของรายได้อื่น จำนวน 755 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 78 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 สาระสำคัญจากการลดลงของดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รฟม.) ที่มีการทยอยชำระคืนเงินตhนตามสัญญา
ขณะที่ต้นทุนการให้บริการมีจำนวน 6,989 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 1,160 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 1,437 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.1 และ 187 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.9 ตามลำดับ จากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ส่วนต้นทุนทางการเงิน มีจำนวน 1,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 128 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.0 เนื่องจากในช่วงต้นปี 2563 ดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนยังถูกบันทึกเป็นต้นทุนโครงกรรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ประกอบกับการวัดมูลค่าเงินกู้และหุ้นกู้ด้วยวิธีราคาทุนตัดจำหน่ายตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TF RS9) ทำให้การบันทึกดอกเบี้ยในงบกำไรขาดทุนมากกว่าดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจริง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม จำนวน 115,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,472 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563
สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ภายใต้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินล่วงหน้าค่าตอบแทนแก่ รฟม. ตามสัญญาสัมปทาน และมีหนี้สินรวม จำนวน 77,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,807 ล้านบาท หรือร้อยละ 24 จากการออกหุ้นกู้และเบิกใช้สินเชื่อ ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม จำนวน 37,699 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 335 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.9 สาระสำคัญจากการจ่ายเงินปันผล
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของ COVID-19 กระทบต่อผลดำเนินงานของบริษัท ทำให้อัตรากำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ต่ำกว่าปีก่อน ส่วนอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้และเบิกใช้สินเชื่อ แต่ยังคงต่ำกว่าสัญญาสินเชื่อและหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2.5 เท่า