ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากแรงหนุนของข่าวการปิดท่อขนส่งน้ำมัน Forties ในทะเลเหนือ

+ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากความกังวลต่อภาวะอุปทานที่ตึงตัว เนื่องจากท่อส่งน้ำมัน Forties ในทะเลเหนืออาจจะปิดดำเนินการเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลังจากที่ตรวจพบรอยรั่วก่อนหน้านี้ โดยล่าสุด (14 ธ.ค.) ได้มีการประกาศยกเลิกด้วยเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ครั้งแรกในรอบ 30 ปี สำหรับการส่งออกน้ำมันของตลาดน้ำมันทะเลเหนือ

– สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่าตลาดน้ำมันดิบจะเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของที่สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปริมาณการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) นอกจากนี้ IEA ปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวของอุปทานน้ำมันจากผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ราว 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2561 ในขณะที่คงการคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์ที่ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า

– สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมัน Shale Oil ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะได้รับเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกองทุน hedge fund และบริษัท private equity เพื่อให้การขุดเจาะและผลิตสามารถดำเนินต่อไปได้จนถึงทศวรรษหน้า โดยในไตรมาส 3/60 บริษัท private equity ในสหรัฐฯ ได้ลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในข้อตกลงด้านการลงทุนด้านพลังงาน ซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้าราว 36%

+ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก จากความวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอนในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ซึ่งอาจเผชิญกับอุปสรรค หลังวุฒิสมาชิก 2 คน จากพรรครีพับลิกันส่งสัญญาณว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินที่อาจเพิ่มขึ้นหลังจากเหตุไฟไหม้โรงกลั่นของ Indian Oil Corp’s ในอินเดียคลี่คลายและกลับมาดำเนินการตามปกติ

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจากยุโรปในช่วงฤดูหนาว

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 55 – 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 62 – 66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน จากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำหลังท่อขนส่งน้ำมันดิบ Keystone กำลังการขนส่งราว 590,000 บาร์เรลต่อวัน ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้เต็มกำลังการขนส่ง นอกจากนี้โรงกลั่นน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ยังคงกำลังการผลิตในระดับสูงต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 ธ.ค. ปรับลดลง 5.1 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่ประมาณ 443 ล้านบาร์เรล

จับตาสถานการณ์การปิดซ่อมบำรุงท่อขนส่งน้ำมันดิบในทะเลเหนือว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการในเร็วนี้ได้หรือไม่ หลังพบรอยร้าวที่ท่อขนส่งน้ำมันดิบ Forties ส่งผลให้ต้องมีการหยุดดำเนินการท่อขนส่งน้ำมันดิบซึ่งมีกำลังการขนส่งอยู่ที่ 450,000 บาร์เรลต่อวัน โดยทันทีและมีการลดกำลังการผลิตลง โดยบริษัท Ineos ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการท่อขนส่งน้ำมันดิบดังกล่าวคาดจะใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์ในการซ่อมแซมท่อขนส่งน้ำมันดิบ Forties


ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2561 และจากการประมาณการของโอเปก ตลาดน้ำมันดิบจะเข้าสู่ภาวะขาดดุลที่ราว 700,000 บาร์เรลต่อวันในปีหน้า โดยล่าสุดในเดือน ม.ค. ซาอุดิอาระเบียปรับลดปริมาณการส่งออกลง 100,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อนหน้าไปยังตลาดเอเชีย ขณะที่คงปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรปในระดับเดิม นอกจากนี้ ผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกปรับเพิ่มความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 121 จากเดือน ต.ค. ที่ร้อยละ 100