บมจ.บีบีจีไอ หรือ BBGI หนึ่งในผู้นำและผู้ผลิตรายใหญ่
วันที่ 17 มีนาคม 2565 บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลั
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
โดย BBGI ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักคือธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ได้แก่ เอทานอล และไบโอดีเซล กำลังการผลิต 1.6 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นเอทานอล 0.6 ล้านลิตรต่อวัน และไบโอดีเซล 1 ล้านลิตรต่อวัน BBGI ซึ่งเกิดจากการตกลงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ระหว่าง บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) กับ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้มีความแข็งแกร่งทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบและจัดจำหน่ายผลผลิต
ซึ่งบริษัทมีแผนต่อยอดการเติบโตในอนาคตไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Bio-Based Products) ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy (BCG) ของภาครัฐในการนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายของการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและการพัฒนาที่ยั่งยืน ปัจจุบัน
BBGI มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,615 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,012.80 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 433.20 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ BCP และ KSL ในวันที่ 3-8 มีนาคม และบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน
เมื่อวันที่ 9-11 มีนาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 10.50 บาท มูลค่าระดมทุน 4,548.60 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 15,183 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จํากัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินหลังระดมทุนจำนวน 4,450.98 ล้านบาท ดังนี้
ทั้งนี้ BBGI มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลังไอพีโอ (IPO) ได้แก่ BCP ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40.20% และ KSL ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 26.80% ขึ้นกับการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินและการซื้อหุ้นเพื่อส่งมอบคืน และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ตามข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน แผนการลงทุนและการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท ภาวะเศรษฐกิจ ความจำเป็นและข้อพิจารณาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง