คลังสั่งแบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อสตาร์ตอัพ ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่

สตาร์ตอัพ
ภาพ : Pixabay

คลังสั่งแบงก์รัฐหนุนเงินทุนสตาร์ตอัพ เน้นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมใหม่ พร้อมคาดมาตรการภาษีหนุนการลงทุนจะทำให้มีเงินลงทุนในสตาร์ตอัพสูงถึง 3.2 แสนล้านบาทในปี’69

วันที่ 21 มีนาคม 2565 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มอบนโยบายแก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการเข้าไปสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ตอัพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ที่รัฐบาลสนับสนุน

“นโยบายของรัฐบาลนั้น ชัดเจนว่าต้องการเข้าไปส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ตอัพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ในอดีตเราเข้าใจว่า ธุรกิจสตาร์ตอัพ คือ ธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น แต่เดี๋ยวนี้ จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่จะไปลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเราก็พร้อมที่จะสนับสนุน โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่มีอนาคต”

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการทางภาษีสำหรับการลงทุนในสตาร์ตอัพไทยที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งการลงทุนโดยตรงและการลงทุนโดยอ้อมผ่าน Venture Capital (CVC) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ Startup ไทยสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้เพิ่มขึ้น

สำหรับมาตรการทางภาษี ประกอบด้วย 1.ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นใน Startup 2.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ CVC ทั้งไทยและต่างประเทศ และ PE Trust ต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นใน Startup

3.ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินใด้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นใน CVC ไทยและจากการที่ CVC ไทยเลิกกิจการ และกำไรจากการขายหน่วยทรัสต์ใน PE Trust ไทยและจากการที่ PE Trust ไทยเลิกกิจการ โดย CVC และ PE Trust ไทย ดังกล่าวเป็น CVC และ PE Trust ที่ลงทุนใน Startup

โดยการลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อ 1-3 ต้องเป็นการลงทุนใน Startup ไทยที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย และต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ และมีรายได้จากอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมดใน 2 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนการขายหุ้น

4.ผู้ลงทุนต้องถือหุ้นหรือหน่วยทรัสต์ไม่น้อยกว่า 24 เดือนก่อนการขายหุ้นหรือหน่วยทรัสต์ 5.CVC ไทยและ PE Trust ไทยต้องมีทุนไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท และจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ 6.ระยะเวลาการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือ ตั้งแต่วันถัดจากวันที่พระราชกฤษฎีกา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2575

“ได้คาดการณ์ว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ภายในปี 2569 จะมีเงินลงทุนใน Startup ไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 แสนล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการ Startup และประชาชน รวมถึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย”