สัญญาณเตือน “บิตคอยน์” ปัจจัยเสี่ยง ศก.โลก 2018

จากกระแสความร้อนแรงของ “บิตคอยน์” เงินสกุลดิจิทัล หรือ cryptocurrencies ที่ราคาพุ่งทะยาน จากต้นปีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันราคาเข้าใกล้ 20,000 ดอลลาร์ ทั้งยังกำลังก้าวขึ้นสู่จุดที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักเก็งกำไรได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มูลค่าที่พุ่งขึ้นอย่างไร้ข้อจำกัด ทั้งไร้เหตุผล ได้กลายเป็นความเสี่ยงที่ทั่วโลกกังวล เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับสกุลเงินดิจิทัลอย่างเป็นทางการแต่จากที่เงินดิจิทัลสกุลบิตคอยน์ถูกนำเข้าสู่การซื้อขายในตลาดซื้อขายสินค้าล่วงหน้าเป็นครั้งแรกที่ “Chicago Board Options Exchange” หรือ CBOE เมื่อ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา และ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ CME (Chicago Mercantile Exchange) ก็ได้เปิดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าบิตคอยน์อีกราย

เดอะ การ์เดียน รายงานว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองตรงกันว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญของการขยับสถานะของบิตคอยน์ให้เป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการการเงินโลก

อย่างไรก็ตามภาพรวมทั่วโลกยังมองว่า”บิตคอยน์” คือความเสี่ยงหนึ่งของตลาดการเงินโลก ซึ่งจะเห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินต่างออกมาเตือนถึงความเสี่ยงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าความเสี่ยงจากฟองสบู่บิตคอยน์แตกจะกระทบตลาดการเงินทั้งระบบ เพราะขณะนี้มีการอ้างอิงว่ามูลค่าซื้อขายบิตคอยน์ในตลาดสูงถึง 4 แสนล้านดอลลาร์

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนในทำนองเดียวกันว่า บิตคอยน์เป็นแหล่งทรัพย์สินที่ไม่มีเสถียรภาพ และไม่ใช่เงินตราที่ชำระหนี้ตามกฎหมาย ทั้งจะไม่ได้รับความคุ้มครองหากถูกหลอกหรือเกิดปัญหาการใช้งาน เรียกว่ายังเป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงมาก

ที่สำคัญบิตคอยน์หรือเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่นการฟอกเงิน หรือการลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่

ด้านบริษัทลงทุน AQR Capital Management วิเคราะห์ว่า 40% ของบิตคอยน์ในตลาดถือครองโดยบุคคลแค่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างสูงในการกำหนดราคา และส่วนใหญ่รู้จักกันดี ทำให้การร่วมมือกันซื้อขายเพื่อสร้างราคาอย่างเป็นระบบเป็นไปได้ง่าย ในขณะที่ตลาดบิตคอยน์ยังไม่มีกลไกการกำกับดูแล ทั้งไม่มีกฎเกณฑ์เรื่องเปิดเผยข้อมูลก็ทำให้ตลาดมีความโปร่งใสน้อย

นายบรูโน เลอแมร์ รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ก็เรียกร้องให้มีการหารือเรื่องการออกกฎหมายจัดระเบียบบิตคอยน์ในการประชุม G20 เดือนเมษายนปี 2018 โดยยอมรับว่าความเสี่ยงที่เกิดจากบิตคอยน์ จะเป็นปัจจัยกดดันให้กลุ่มประเทศผู้นำในเศรษฐกิจโลก G20 จำเป็นต้องร่วมหารือและออกกฎหมายเพื่อรับมือ

ธนาคารใหญ่ของเยอรมนีอย่าง “ธนาคารดอยช์แบงก์” ออกรายงานประเมินความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกปี 2018 ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือความเสี่ยงคือ “ฟองสบู่บิตคอยน์แตก”

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งคือ เงินเฟ้อของสหรัฐที่อาจเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2/2018 รัฐบาลหลายประเทศก็เริ่มจับตาไล่บี้ตลาดซื้อขายบิตคอยน์ เช่นทางการจีนเดินหน้าปิดตลาดการซื้อขายทั่วประเทศ โดยระบุว่า เงินดิจิทัลถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางอาชญากรรมมาก ทั้งการฟอกเงิน การค้ายาเสพติดและการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย

ขณะที่ประเทศไทย ธปท.ก็จับตา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เฝ้าระวังการนำบิตคอยน์ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความเห็น แนวทางการกำกับดูแล Initial Coin Offering (ICO) โดย นางสาวอาจารีย์ ศุภพิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน ก.ล.ต.กล่าวว่า เนื่องจาก ICO เป็นวิธีการระดมทุนใหม่ในยุคดิจิทัล ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยผู้สนใจลงทุนจะต้องใช้ “เงินดิจิทัล” เช่น บิตคอยน์ ฯลฯ เข้ามาแบ็กอัพ

“การระดมทุนแบบ ICO กำลังเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ และเป็นที่พูดถึงในประเทศไทย ก.ล.ต.ก็เห็นว่าเราจะปิดกั้นเทรนด์ของ ICO ไม่ได้ จึงต้องหาแนวทางกำกับดูแล อย่างไรก็ตามแนวทางกำกับดูแล ICO ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีคริปโตเคอเรนซี่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ ก.ล.ต.ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นการรับรองให้คริปโตเคอเรนซี่ เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

การที่ไม่มีกฎหมายกำกับ ทำให้การซื้อขายบิตคอยน์เป็นไปอย่างอิสระ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั่วโลกต่างผวามากขึ้น เช่นกรณี “เฟลกซ์คอยน์” ที่ตั้งอยู่ในรัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ยืนยันว่าบริษัทไม่มีทรัพย์สินอื่น ๆ ที่จะชดเชยความเสียหายได้ หลังจากที่ถูกเจาะระบบและขโมยบิตคอยน์ที่มีอยู่ทั้งหมดไป อันนำมาสู่การขอประกาศปิดตัวในที่สุด รวมทั้งล่าสุด Youbit ตลาดซื้อขายบิตคอยน์

“เกาหลีใต้” เพิ่งประกาศปิดตัว หลังเจอแฮกเกอร์โจมตีซ้ำครั้งที่ 2 ในรอบปี สูญเงินจำนวนมาก ทำให้บริษัทประกาศล้มละลาย แม้จะระบุว่าจะเปิดให้สมาชิกถอนเงินลงทุนแต่เงินก็จะหดหายไปซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเหลือเท่าไหร่


นักวิเคราะห์จากสื่อหลายสำนักลงความเห็นว่า “บิตคอยน์เสมือนเป็นเกมการพนันที่ซับซ้อนมาก และท้ายที่สุดก็ต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ ซึ่งมักจะเป็นคนที่ไม่มีทักษะการเอาตัวรอดพอ”