หุ้นดิ่งต่อเนื่อง ! กูรูแนะจัดพอร์ตรับมือความผันผวน “บล.ทรีนีตี้” ชี้ดัชนีหุ้นไทยยังลงได้ต่อ ระบุเป็นโอกาสเข้าทยอยซื้อสะสม แนะจัดพอร์ตลงหุ้นไทย 10% เพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ ฟาก “บลจ.ยูโอบี” จับตาดอกเบี้ยขาขึ้นฉุดกำไร บจ. แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย-ชะลอถือเงินสดเพิ่ม
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอยู่แถว ๆ แนวรับสำคัญที่ 1,580-1,600 จุด หลังจากดัชนีหลุดแนวรับแรกที่ 1,630 จุดลงมา
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดยในจังหวะที่หุ้นปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าสะสม แต่แนะนำนักลงทุนว่าไม่ควรลงทุนเต็ม 100% ยังคงต้องแบ่งสัดส่วนและประเมินสถานการณ์ต่อ เนื่องจากตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่านี้
ในกรณีที่หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความกังวลต่อประเด็นเศรษฐกิจโลกที่เสี่ยงถดถอย ก็จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยอาจจะปรับตัวลงไปอยู่แถว ๆ 1,500-1,530 จุด ซึ่งจะเป็นจุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อเพื่อสะสม และสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้อย่างจริงจัง
“การจัดพอร์ตลงทุนในจังหวะที่หุ้นปรับตัวลงมามาก แนะนำต้องมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 50% โดยแบ่งออกเป็นหุ้นต่างประเทศ 40% หุ้นไทย 10% และลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีกจำเป็น และกลุ่มสาธารณูปโภค รวมถึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เป็น 30%
เนื่องจากน่าจะตอบรับความกังวลเรื่องของเฟดและเงินเฟ้อไปมากพอสมควรแล้ว ขณะที่การถือเงินสดในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงไม่ค่อยแนะนำให้ถือไว้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือเงินสดยังคงถือไว้ได้ในสัดส่วนไม่เกิน 20%”
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ระยะนี้เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงมาก โดยปัจจัยกดดันหลัก คือ เงินเฟ้อที่ยังพุ่งสูง ทำให้หุ้นที่เติบโตสูงปรับฐานลงมา และประเด็นดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นได้อีกในปีนี้ก็อาจจะส่งผลให้หุ้นที่ราคาแพงปรับตัวลงอีก
“ความกังวลที่จะตามมาหลังจากนี้ คือ ดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจะกระทบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนรุนแรงมากแค่ไหน ตรงนี้จะเป็นความกังวลระลอก 2 ที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากดูจากการคาดการณ์ของตลาดในช่วงนี้ก็คิดว่าอย่างน้อยเฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1.5% ภายในปีนี้ แต่หากปรับขึ้นน้อยกว่าที่คาดก็มีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้น”
ทั้งนี้ การประชุมเฟดในครั้งถัดไปจะมีการรายงานการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเฟดคาดการณ์ออกมาว่าจะมีการปรับขึ้นสูงกว่านี้ หุ้นก็อาจจะมี downside ขณะที่เรื่องความกังวลที่เศรษฐกิจเสี่ยงถดถอยอาจกลายเป็นความกังวลที่จะมีมากขึ้นในอนาคต
ดร.จิติพลกล่าวอีกว่า การจัดพอร์ตลงทุนในช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวน ไม่แนะนำให้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยเเนะนำลงทุนในหุ้น 60% และอาจปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เป็นหุ้นเติบโตมาลงทุนในหุ้นคุณค่า
ซึ่งอาจต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากประเทศไทยได้รับผลกระทบไม่มากนัก และมีแนวโน้มการฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ และเป็นหุ้นคุณค่าโดยส่วนใหญ่ ขณะที่ตราสารหนี้แนะนำถือในสัดส่วน 20-30%
โดยพันธบัตรรัฐบาลมีโอกาสปรับตัวลงเพราะว่าอัตราผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น และอาจแบ่งสัดส่วน 10% ในตราสารหนี้มาซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะปรับราคาให้สูงขึ้นตามเงินเฟ้อได้ ส่วนการถือเงินสดแนะนำให้ถือประมาณ 10-20% ทั้งนี้ ต้องชะลอการถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ดูดีขึ้นก่อน
“สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนต้องคำนึงในการจัดพอร์ตก็คือ เลือกแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองและสามารถรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจมีความผัวผวนบวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยสูงขึ้น” ดร.จิติพลกล่าว