ACOM เตรียมความพร้อมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 1,599 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายธุรกิจ

เงินหุ้น

บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (บริษัทฯ) หรือ ACOM เตรียมความพร้อมเดินหน้าขายไอพีโอ (IPO) หลังก.ล.ต.อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ ระดมทุนขยายธุรกิจ พัฒนาแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ ตอกย้ำผู้นำการให้บริการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นายธนิก ธราวิศิษฏ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการนำบริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด หรือ ACOM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายหลังที่ ACOM ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุดได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว โดยปัจจุบัน ACOM อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ตลอดจนพิจารณากำหนดช่วงราคาและระยะเวลาที่จะเสนอขายหุ้นไอพีโอ (IPO) เพื่อแจ้งให้ทราบต่อไป

ธนิก ธราวิศิษฏ์
ธนิก ธราวิศิษฏ์

ทั้งนี้ ACOM จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนรวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35.0
ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ประกอบด้วย

1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้

2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน
ร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยจะนำเงินไปใช้ลงทุนขยายธุรกิจและเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ใช้เป็นเงินทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และเทคโนโลยีด้านอื่นๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป

นายวีระพงษ์ ศรีวรกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ ACOM เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำการให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ยอดขายสินค้ารวม โดยมีมูลค่าเป็น 1.8 เท่าเทียบกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 16.5 ในปี 2563

วีระพงษ์ ศรีวรกุล
วีระพงษ์ ศรีวรกุล

ปัจจุบันให้บริการแก่ลูกค้าใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เพื่อสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆ พัฒนาและเพิ่มศักยภาพการจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งเว็บสโตร์ มาร์เก็ตเพลสและโซเชียลมีเดีย

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีฐานลูกค้าแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนำระดับโลกทั้งสิ้นกว่า 168 ราย เพิ่มขึ้นถึง 50 ราย หรือร้อยละ 42 เทียบกับปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 13 แบรนด์ จาก 100 แบรนด์แรกในปี 2564 โดยมีสินค้าที่รับบริหารจัดการสินค้ากว่า 39,221 รายการ ขณะที่ยอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรนับจากปี 2562-2564 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 52 ปัจจัยมาจากการขยายฐานลูกค้ารายใหม่และยอดขายของลูกค้ารายเดิมที่เพิ่มขึ้น

โดยเมื่อพิจารณายอดขายของลูกค้ารายเดิมที่เริ่มใช้บริการในปี 2559 – 2562 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2564 ที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 35 – 184 ส่วนยอดขายสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง (EMV) ของบริษัทฯ ในปี 2564 อยู่ที่ 10,149.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 8,192.8 ล้านบาท

“บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์เพียงรายเดียวสำหรับการให้บริการธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ทั้งหมดในประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ โดย DKSH ได้โอนและแนะนำแบรนด์สินค้าที่ต้องการขยายธุรกิจออนไลน์แบบ B2C แก่ ACOM ทำให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/2564 และบริษัทฯ ยังวางแผนขยายธุรกิจในเวียดนามเพื่อสนับสนุน DKSH และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” นายวีระพงษ์ กล่าว

บริษัทได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และเพิ่มฐานผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ได้แก่

1) มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจำนวนแบรนด์ รายการสินค้าและการให้บริการมากกว่า 1 ประเทศ

2) ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ เช่น บริการจัดการคำสั่งซื้อที่ซับซ้อน และการเพิ่มขีดความสามารถด้านข้อมูล เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้บริการสามารถสร้างสรรค์แคมเปญที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3) ขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่ และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

4) มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS ทั้งในด้านฟีเจอร์ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ และเพิ่มความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพื่อขยายไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น
ทั้งบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก

5) การเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อขยายตลาดใหม่ เช่น เวียดนามและขยายธุรกิจที่มีในมาเลเซีย เป็นต้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง