เม.ย. ต่างชาติเที่ยวไทยเฉียด 3 แสน จับตารัสเซีย-ยูเครน กระทบค่าครองชีพ

นักท่องเที่ยวต่างชาติ

สศค.เผยเศรษฐกิจเดือนเม.ย.65 ส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง ต่างชาติเที่ยวไทยพุ่ง 2.93 แสนคน จับตาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน กระทบราคาพลังงาน-ต้นทุนการผลิต-ค่าครองชีพ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2565 นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนเมษายน 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และภาคเกษตร

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลต่อระดับราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพอย่างใกล้ชิด โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

การบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนเมษายน 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 293,350 คน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 3,339.4 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 66.3

โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร อินเดีย เยอรมนี สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนเมษายน 2565 จำนวน 16.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 138.9 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 6.3

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.2 จากระดับ 89.2 ในเดือนมีนาคม 2565 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิตทั้งจากราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนเมษายน 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.6 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 0.9 การบริโภคสินค้าคงทน

สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 20.6 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ -9.2 ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -7.6 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 6.4

ส่วนรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนเมษายน 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 8.0 อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40.7 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนเมษายน 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 6.3 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.7 และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.4 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -6.0

สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนเมษายน 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -7.4 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.4 ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -6.5 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 7.3

ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ 23,521.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันที่ร้อยละ 9.9 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวร้อยละ 6.9

“เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย อาเซียน 5 ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 43.4 26.9 25.4 และ 13.6 ตามลำดับ”

นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 4.65 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.00 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 60.6 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ ในเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 0.3 ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด

ทั้งนี้ เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 228.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ