
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวรับปัจจัยบวกระยะสั้น มองระยะกลางตลาดหุ้นยังไม่ใช่ขาขึ้น เหตุมีปัจจัยลบรออยู่ ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น-เศรษฐกิจชะลอ-ตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสลงอีก 8 – 10% แนะซื้อหุ้น “เทคโนโลยี-เฮลท์แคร์” หลบภัย
วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกพลิกกลับมาพื้นตัวแรง (รีบาวนด์) หลังรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (Core PCE) ของสหรัฐ เดือนเมษายนได้ชะลอลงมาอยู่ที่ 4.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YOY) จากเดือนมีนาคมที่อยู่ในระดับ 5.2% ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
- สพฐ.ประกาศหยุดเรียน 4-8 ธ.ค.ให้นักเรียน ม.ปลายเตรียมสอบ TGAT/TPAT
- MOTOR EXPO 2023 ยอดขายรถ 4 วันแรกทะลุ 8,300 คัน
- เช็กเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เงินเข้าบัญชีวันนี้ 38 จังหวัด
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นอาจจะไม่กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้อัตราเงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เกือบ 5% ในปัจจุบันยังนับว่าสูงและเกินกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของ Fed เป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ Fed ยังน่าจะคงยืนยันจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วกว่าปกติ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% ต่อการประชุมในแต่ละครั้งไปจนกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปถึง 2% เป็นอย่างน้อย
นอกจากนั้นยังมองว่า ตลาดหุ้นจะถูกกดดันเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจที่จะเริ่มชะลอลงตามกำลังซื้อที่ลดลงหลังราคาสินค้าและบริการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น
ในด้านมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นสหรัฐ แม้จะปรับฐานลงมาต่ำกว่าจุดสูงสุดอยู่เกือบ 15% แต่ Valuation ยังไม่ถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล
โดย Earning Yield Gap (EYG) หรือคาดการณ์อัตราผลกำไรของตลาดหุ้น (Earning Yield หรือส่วนกลับของค่า P/E Ratio) หักลบด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐ ปัจจุบันอยู่ที่ 3% ใกล้เคียงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งชี้ว่าผลตอบแทนคาดหวังจากตลาดหุ้นนั้นยังไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงตามที่ประเมิน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ลงทุนทิสโก้คาดว่า EYG จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับราว 3.6% เท่ากับช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวปลายปี 2561 ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลง (Downside Risk) ราว 8 – 10% โดยคาดว่า ดัชนีหุ้นสหรัฐ S&P 500 จะลงไปเทรดที่ระดับราว 3,800 จุด
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ในจังหวะนี้แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเริ่มฟื้นตัวหลังเริ่มเห็นสัญญาณว่า Bond Yield ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และหุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก