ธ.ก.ส. ชวนเกษตรกรรับมือวิกฤตปุ๋ยแพง หันมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดต้นทุน เร่งกระจายความรู้ด้านการผลิต ผ่านศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง 399 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้าเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนการผลิตกว่า250,000 ราย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปัญหาปุ๋ยเคมีขาดแคลนและมีราคาแพงอันเนื่องมาจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสงครามความขัดแย้งรัสเซีย – ยูเครน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ไม่เฉพาะแค่ประเทศไทยแต่เกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อรับมือกับปัญหาและสร้างทางเลือกให้กับเกษตรกรในการลดการพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการศูนย์เรียนรู้สู้ภัยต้นทุนการผลิตสูง โดยระดมพลังปราชญ์ชาวบ้าน ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. ทั้ง 399 แห่งทั่วประเทศ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
“ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. บ้านซับรวงไทร ตำบลนาฝาย อำภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ นับว่าเป็นต้นแบบในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเกษตรกรรายอื่น ๆ ที่สนใจ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลไก่แล้วนำมาเพาะปลูกผักปลอดภัย นำไปจำหน่ายในตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. ซึ่งบ้านซับรวงไทร ได้รับการสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. โดยได้รับการพัฒนาจากชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง จนพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ตั้งแต่การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตผักปลอดภัย ตลอดจนระบบการเชื่อมโยงตลาด ทั้งในท้องถิ่นและภายนอกได้เป็นอย่างดี“
สำหรับศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. เหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์การปรับเปลี่ยนการผลิตสู่การทำการเกษตรแบบยั่งยืน ฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งความรู้ด้านการใช้สมุนไพร การผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยเบญจคุณ ปุ๋ยหมัก การนำเศษวัสดุเหลือใช้ในภาคการเกษตรมาปรับเปลี่ยนเป็นของที่มีประโยชน์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้เพิ่ม โดยตั้งเป้าเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพื่อฟื้นฟูอาชีพและการปรับเปลี่ยนการผลิต จำนวนกว่า 250,000 ราย
นายสมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า วิกฤตราคาปุ๋ยแพงที่เกิดขึ้น ถือเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตของประเทศไทยไปสู่วิถีเกษตรอินทรีย์ ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกรในฐานะผู้ผลิตและประชาชนที่เป็นผู้บริโภคแล้ว ยังสอดรับกับกระแสโลกที่กำลังรณรงค์ให้ทุกประเทศร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อน มีการกำหนดเกณฑ์การส่งออกผลผลิตทางการเกษตรที่มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัย และการห้ามใช้สารเคมีเป็นต้น