พาส่อง เมืองมรดกโลก 8 แห่ง…ป้อมปราการล้อมเมืองใน “ยุคกลาง”

รายงานจาก “ซีเอ็นเอ็น” ระบุการจัดอันดับให้ 8 เมืองที่มีการปิดล้อมด้วย “กำแพง” ตั้งแต่ในสมัย “ยุคกลาง” ที่ยังสวยตระการตา อีกทั้งยังกลายเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศด้วย

เริ่มจาก กำแพงเมืองผิงเหยา” (Pingyao) ตั้งอยู่ในมณฑลซานซี ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 ทั้งยังเคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน เพราะในสมัยนั้นมีธนาคารกว่าครั้งหนึ่งของประเทศตั้งที่ ณ ที่แห่งนี้นั่นเอง

ปัจจุบัน กำแพงแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1997 โดยกำแพงเมืองผิงเหยาสร้างขึ้นในปีที่ 3 ของรัชสมัยหงหวู่ฮ่องเต้ ซึ่งมีประตูเมืองอยู่ 6 ประตู โดยกำแพงด้านทิศเหนือและทิศใต้มีประตูด้านละ 1 ประตู ส่วนด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมีด้านละ 2 ประตู ทำให้กำแพงเมืองมีลักษณะเหมือนเต่า

นอกจากนี้ ตัวกำแพงสูงประมาณ 12 เมตร ความยาวโดยรอบ 6,000 เมตร นอกกำแพงมีคูเมืองกว้าง 4 เมตร และลึก 4 เมตร บนกำแพงมีป้อมปราการตั้งที่มุมกำแพงทั้งสี่ และหอสังเกตการณ์ 72 หลัง โดยในปัจจุบันนักท่องเที่ยวต้องเสียค่าเข้าชม

ตามด้วย “การ์กาสซอนน์” (Carcassonne) เมืองที่มีกำแพงป้องกันเมืองล้อมรอบที่ตั้งอยู่จังหวัดโอดคือชื่อในอดีต ปัจจุบันก็คือ แคว้นล็องก์ดอค-รูซียง ประเทศฝรั่งเศส โดยมีการก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ในศควรรษที่ 13 โดยสถาปนิก “เออแฌน วียอเล-เลอ-ดุ๊ก” (Eugene Viollet-le-Duc) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1997

โดยประวัติของการ์กาสซอนน์ ก็คือ การแยกออกดินแดนออกเป็นสองส่วน ระหว่าง “Cité de Carcassonne” ซึ่งเป็นส่วนเมืองเก่าที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง กับ “ville basse” ส่วนที่เป็นเมืองใหม่เป็นบริเวณปริมณฑลรอบตัวเมืองเก่านั่นเอง

“ยอร์ค” (YORK) เมืองมรดกทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศอังกฤษในยุคโรมัน และถือว่าเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ทั้งยังเคยได้รับรางวัลให้เมืองท่องเที่ยวแห่งยุโรปเมื่อปี 2007 อีกด้วย

นอกจากนี้ หลายๆ สื่อเคยเรียกสถานที่ดังกล่าวว่า “The Original Ghost Walk of York” ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่บุกเบิกแรกๆ เกี่ยวกับการเดินท้าทายผีของโลกทีเดียว

“ดูบรอฟนิก” (Dubrovnik) ในประเทศโครเอเชีย กำแพงล้อมเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 และ 15 เป็นช่วงที่โครเอเชียต้องการแบ่งแยกดินแดน กองทัพ ยูโกสลาเวีย กองทัพของพวกเชิร์บ และมอนเตเนโกร สถานที่สำคัญมากมายถูกบุกรุกทำลาย กว่าสงครามจะสงบก็ปาเข้าไปในช่วงศตวรรษที่ 17

โดยมีการบูรณะขึ้นมาใหม่เพิ่มความเข้มแข็ง ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ตัวกำแพงระยะความยาว 2 กิโลเมตร ที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ กลายเป็นจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในปัจจุบัน

“ซีอาน” (Xi’an) ประเทศจีน กลายเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศพี่ใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย โดยกำแพงป้อมปราการซีอานจะแบ่งออกเป็น 4 ประตู North East South West 4 ทิศ ซึ่งมีคูน้ำรอบๆ เอาไว้คอยปกป้องเมืองจากภัยคุกคามในสมัยยุคกลาง โดยในส่วนหน้าของป้อมปราการคือ หอสังเกตการณ์ ปืนใหญ่ และโคมไฟสีแดงแสดงเอกลักษณ์ของจีน

กำแพงซีอานถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในปี 1378 ในสมัยราชวงศ์หมิง โดย “ฉู หยวน ฉาง” ซึ่งถือว่าเป็นกำแพงเมืองที่มีป้อมปราการที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยความสูง 12 เมตร หนา 12-18 เมตร และความยาวอยู่ที่ 14 กิโลเมตร โดยปัจจุบัน กลายเป็นหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้อย่างมากให้กับมณฑลส่านซี

ทั้งนี้ ยังมีอีก 6 เมืองที่ได้รับการยกย่องจาก ซีเอ็นเอ็น ว่าเป็นสถานที่เพื่อศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศนั้นๆ เช่น

“โอบิดูช” (Obidos) เมืองป้อมปราการโบราณของประเทศโปรตุเกส หนึ่งจุดยุทธศาตร์สะท้อนประวัติศาสตร์ในอาณาจักรโรมัน

“ควิเบกซิตี” (Quebec City) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศแคนาดา และเป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเมืองควิเบกถูกก่อตั้งขึ้นโดย ซามูเอล เดอ ชอมแปลง (Samuel de Champlain) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17

ที่น่าสนใจคือ เป็นเมืองเดียวในอเมริกาเหนือที่ยังคงรักษากำแพงเมือง รวมทั้งหอรบ ประตูเมือง และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูรอบเมืองเก่าควิเบคเอาไว้ได้ โดยองค์การยูเนสโกได้บรรจุให้เมืองเก่าควิเบกเป็นมรดกโลกในปี 1985

“ทารูดันท์” (Taroudant) ประเทศโมร็อกโก ป้อมปราการดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1509 โดยมีความยาว 6 กิโลเมตร ทั้งยังมีมัสยิดขนาดใหญ่และสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศอยู่ภายในกำแพงสีอิฐดังกล่าวด้วย