ดร.นฤมล คาดกนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แนะธุรกิจป้องกันความเสี่ยง

หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75 ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ คาดการณ์ว่า กนง. จะใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน แต่ในอัตรา 0.25% พร้อมแนะหนทางป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวน

วันที่ 23 กันยายน 2565 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเงินของโลกตลอดสัปดาห์นี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยชี้ให้เห็นตั้งแต่

21 ก.ย. ธนาคารกลาง สหรัฐอเมริกา หรือ FED ขึ้นดอกเบี้ยอีก +0.75% สู่ระดับ 3%-3.25%

22 ก.ย. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย คงไว้ที่ -0.1%

22 ก.ย.ธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก +0.5% จึงเพิ่มเป็น 2.25%

เป็นไปตามคาด คือ ญี่ปุ่นเลือกที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย การเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนโดยตรงจึงเป็นทางเลือกที่นำมาใช้ เมื่อวันจันทร์(19 ก.ย.) ยังเขียนอยู่เลยว่า “ถึงแม้ BOJ ยังคงไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของการที่จะเสี่ยงใช้วิธีแทรกแซงค่าเงินเยนโดยตรง ค่าเงินเยนล่าสุดตกลงไปอยู่ที่ 144 เยนต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ 24 ปี ถ้าอ่อนต่อเนื่องไปจนหลุด 150 เยนต่อดอกลลาร์ อาจจะได้เห็นการปรับเปลี่ยนมาตรการของ BOJ”

แต่หลังจากที่ค่าเงินเยนต่อดอลลาร์หลุดตัวเลข 145 ไป รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ปล่อยให้อ่อนต่อเนื่องไปอีก ไฟเขียวให้มีการเข้าซื้อเงินเยนเมื่อวันพฤหัส (22 ก.ย.) จนค่าเงินเยนต่อดอลลาร์ขยับแข็งค่าเป็น 140 นายชุนิจิ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ว่า โดยหลักการแล้วอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต้องเป็นไปตามกลไกตลาด แต่เราไม่อาจทนต่อความผันผวนซ้ำหลายครั้งที่มาจากการเก็งกำไร แต่ไม่ได้เปิดเผยปริมาณของเม็ดเงินที่ใช้เข้าทำการแทรกแซงค่าเงิน

ทั้งนี้จะเห็นว่าแต่ละประเทศ มีปัจจัยภายในที่แตกต่างกัน อัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ที่เพียง 3% ซึ่งยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นมาก ธนาคารกลางญี่ปุ่นจึงเห็นว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลลบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า แต่นั่นหมายถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเทียบกับประเทศอื่นจะสูงขึ้น และส่งผลกระทบกับให้เงินเยนอ่อนค่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงมาตัดสินใจใช้แนวทางแทรกแซงค่าเงินโดยตรง

ดังนั้นวันที่ 28 ก.ย. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดกันว่าน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก +0.25% เป็นการทยอยขึ้นไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกับต้นทุนของธุรกิจและเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วเกินไป

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่อ่อนไหวต่ออัตราแลกเปลี่ยนควรทำการป้องกันความเสี่ยง และภาครัฐควรควบคุมต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงให้เหมาะสม

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กนง. ของประเทศไทย พิจารณาข้อมูลรอบด้าน และตัดสินใจทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาทีละน้อย ซึ่งในภาพรวมถือว่ามีความเหมาะสม เราจึงเห็นค่าเงินบาทค่อย ๆ อ่อนตัว ซึ่งส่งผลดีกับภาคการส่งออก ส่วนธุรกิจนำเข้า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอง ก็ได้ส่งสัญญาณให้ภาคเอกชน ทำการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมาต่อเนื่อง จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแทรกแซงค่าเงินโดยตรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล


ที่ต้องระมัดระวัง คือเมื่อเดือน มิ.ย. 2565 สหรัฐยังคงประกาศขึ้นบัญชีประเทศไทย เป็นประเทศที่ถูกจับตาเพราะบิดเบือนค่าเงินอย่างใกล้ชิด ซึ่งกรณีเลวร้ายหากเข้าข่ายบิดเบือนค่าเงินเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทยกับสหรัฐ