โควิด-19 ครม. คง UCEP เฉพาะผู้ป่วยสีแดง – ยกเลิกจ่ายบางรายการ 

ป่วยโควิดสีเหลือง-สีแดง ต้องโทรเบอร์ไหน เช็กด่วน

ครม.ไฟเขียว 1 ต.ค. 65 สิทธิ UCEP รักษาโควิดได้ทุกที่เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีแดง-ยกเลิกค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าห้อง-ค่าอาหาร ค่าเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา ยา Molnupiravir Remdesivir-Nirmatrelvir/ritonavir เบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนของผู้มีสิทธิ อนุมัติค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ 986 ล้านบาท-จัดหายารักษาโควิด 365 ล้านบาท 

วันที่ 27 กันยายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาบ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบฯกลาง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2 รายการ ประกอบด้วย

1.งบฯกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 986.452 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขกลุ่มต่าง ๆ ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุมและรักษาผู้ป่วยโควิด-19

ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วในช่วงเดือน ต.ค. 64-มิ.ย. 65 และได้รับการจัดสรรงบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 65 วงเงิน 12,123.109 ล้านบาท แต่ไม่เพียงพอ จึงได้จัดสรรงบฯกลางเพิ่มเติมในครั้งนี้

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า สำหรับโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ และได้รับการจัดสรรงบฯเพิ่มเติมในครั้งนี้มี 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ของกรมการแพทย์ โครงการจ่ายค่าตอบแทนการเสี่ยงภัยในการปฏิบัติงานบริการรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โครงการจ่ายค่าตอบแทนการเสี่ยงภัยในการปฏิบัติงานบริการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของกรมสุขภาพจิต และโครงการสนับสนุนการจัดบริหารทางการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการระบาดของโควิด-19 ของกรมอนามัย   

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า 2.งบฯกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 365.681 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 สำหรับหน่วยบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2565

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีขึ้นตามลำดับ แต่กระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็นที่ต้องเตรียมพร้อมในการรับมือและป้องกันโรคโควิด-19 ที่อาจยังมีการระบาดในระดับคลัสเตอร์ขนาดเล็ก ปานกลางหรือใหญ่ให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องจัดหายารักษาโควิด-19 ให้ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในในทุกระดับ   

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า โดยในเดือน มี.ค. 65 กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณงบฯกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 1,795.71 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดซื้อยารักษาโควิด-19 และดำเนินการเบิกจ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เพียงพอจึงได้จัดทำโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 สำหรับหน่วยบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และขอรับสนับสนุนเงินงบประมาณ 365.681 ล้านบาทข้างต้น

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า สำหรับวงเงินงบประมาณ 356.681 ล้านบาท จะจัดซื้อยารักษาโควิด ประกอบด้วย การจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ 25.739 ล้านเม็ด วงเงินรวม 355.031 ล้านบาท ยาโมลนูพิราเวียร์ 1.03 ล้านเม็ด วงเงิน 10.493 ล้านบาท และยาเรมเดซิเวียร์ 1,220 ขวด วงเงิน 156,648 บาท

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ฉบับที่ 2 ซึ่งจะมีผลให้การใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. จะครอบคลุมเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีแดง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ของไทยที่กำลังเข้าสู่ภาวะหลังการระบาดใหญ่ (Post Pandemic) ซึ่งการใช้สิทธิ UCEP ต้องกลับเข้าสู่ระบบปกติ รวมถึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันด้วย

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งใช้สิทธิ UCEP ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป ได้มีการปรับปรุงในหลายส่วน อาทิ การกำหนดให้ยกเลิกค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าห้องและค่าอาหาร ค่าเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงกำหนดให้ กรณียา Molnupiravir Remdesivir และ Nirmatrelvir/ritonavir ให้เบิกยาหรือค่าใช้จ่ายจากกองทุนของผู้มีสิทธิ ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม ส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กองทุนของผู้มีสิทธิกำหนด

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ใหม่ต่อไป