สาธารณสุขย้ำ สถานศึกษาติดเชื้อโควิด ไม่ต้องปิดเรียน

สธ.เผยแนวทางเฝ้าระวัง “โควิด” ในสถานศึกษา ย้ำติดเชื้อไม่ต้องปิดเรียน ตรวจ ATK เมื่อเสี่ยง สังเกตอาการป่วยเป็นกลุ่มก้อน หากพบให้รายงานตามมาตรฐานผ่านออนไลน์อนามัยโรงเรียน

วันที่ 3 ตุลาคม 2565 นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และสมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก ยังคงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในสถานศึกษาต่อเนื่อง

โดยแนะนำการป้องกัน 3 ส่วนคือ

1.สถานศึกษา ให้ประกาศนโยบายมิติสุขภาพและคำแนะนำการป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จัดสภาวะแวดล้อมของสถานศึกษาให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล มีระบบการระบายอากาศที่ดี ประเมินความเสี่ยงตามความเหมาะสม หรือตามคำแนะนำของ สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด และส่งเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ ครู บุคลากร นักเรียน และผู้ปกครอง

2.นักเรียนและบุคลากรต้องปฏิบัติตามสุขอนามัยส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานเป็นกิจวัตรคือ ล้างมือ สวมหน้ากากในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ประเมินความเสี่ยงของตนเองด้วย Thai Save Thai ถ้าเสี่ยงสูงแนะนำตรวจ ATK หรือปรึกษาหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ และรับวัคซีน

3.การเฝ้าระวัง ให้สถานศึกษาตรวจคัดกรองสุขภาพนักเรียนตามมาตรฐานงานอนามัยโรงเรียน พร้อมกับเฝ้าระวังและสังเกตอาการป่วย หากมีการป่วยเป็นกลุ่มก้อน ให้ประสาน ปรึกษา และส่งต่อสถานพยาบาล และกำกับติดตามรายงานตามมาตรฐาน ผ่านออนไลน์อนามัยโรงเรียน

นายแพทย์สราวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานศึกษาที่พบการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา ให้จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม ไม่ต้องปิดเรียน ปฏิบัติตามหลักการ Universal Prevention เน้นมาตรการ 6-6-7 เข้มการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดทำกิจกรรมรวมกลุ่ม จัดพื้นที่ให้มีระบบระบายอากาศที่ดี และทำความห้องเรียน/ชั้นเรียน

ส่วนกรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการปานกลาง หรือรุนแรง ให้สถานศึกษาปฏิบัติตามแนวทางการดูแลรักษาของ สธ. และติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่

สำหรับข้อมูลการรับวัคซีนโควิด-19 ของนักเรียน วันที่ 3 ตุลาคม 2565 พบว่ากลุ่มอายุ 12-17 ปี ทั้งหมด 5,333,639 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 4,723,369 คน คิดเป็น 88.56% เข็มที่ 2 จำนวน 4,386,081 คน คิดเป็น 82.23% เข็มที่ 3 จำนวน 1,140,580 คน คิดเป็น 20.35% ส่วนอายุ 5-11 ปี ทั้งหมด 5,002,698 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 3,328,184 คน คิดเป็น 64.6% เข็มที่ 2 จำนวน 2,493,003 คน คิดเป็น 48.4% และเข็ม 3 จำนวน 56,807 คิดเป็น 1.1% ดังนั้น ยังคงมีความจำเป็นที่นักเรียนจะต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง