เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.วังชิ้น จ.แพร่ กรณีสวนป่าไม้สักที่ปลูกโดยชาวบ้าน ในที่ดินของตนเองที่รัฐบาลเข้าไปส่งเสริมให้ปลูกป่าไม้สักเป็นพืชเศรษฐกิจทดแทนการขาดแคลนไม้แปรรูปในอดีต โดยมีเงินสนับสนุนให้บำรุงรักษาไร่ละ 3,000 บาท ขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 12 ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ มีไม้สวนป่าไม้สักดังกล่าวอายุถึง 24 ปี มีขนาดที่เหมาะกับการตัดจำหน่ายแล้ว แต่ไม่สามารถตัดได้ พบว่ามีกฤษฎีกาประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในปี 2554 ทับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ชาวบ้านปลูกไม้สักอยู่ทำให้หน่วยงานปฏิรูปที่ดินไม่รับรอง การขออนุญาตตัดไม้สักจำหน่าย ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีชาวบ้านถือครองในจำนวนคนละ 5 ไร่ขึ้นไปเป็นเกษตรกรรายย่อย มีฐานะยากจน รอความหวังการตัดไม้สักจำหน่ายเพื่อทำให้ชีวิตพวกเขาได้ลืมตาอ้าปากบ้างตามคำแนะนำของทางราชการในอดีต ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใด ทั้ง สปก.4-01 และ สำนักงานป่าไม้ หน่วยงานส่งเสริมโดยตรง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ยังนิ่งเฉยไม่หาทางออกให้กับประชาชน แม้ว่าชาวบ้านในหมู่ 12 จะร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ และได้รวมเงินค่ารถเดินทางไปยื่นหนังสือให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ก็นิ่งเฉย
พระครูวิจิตรธรรมสาธก เจ้าอาวาสวัดสัมฤทธิบุญ เจ้าคณะอำเภอวังชิ้น กล่าวว่า ปัญหาสวนป่าไม้สักที่ได้รับการส่งเสริมจากทางรัฐบาลไม่มีเพียงหมู่ 12 ต.แม่พุง แต่ในตำบลอื่นๆ ของอำเภอวังชิ้น ก็มีอีกเป็นจำนวนมาก ประชาชนล้วนได้รับความเดือดร้อน รอให้ทางการมาแก้ เพราะความผิดนี้ไม่ได้เกิดจากชาวบ้าน แต่เกิดจากการส่งเสริมของทางราชการ หรือว่า ทางราชการหลอกให้ชาวบ้านปลูกป่าถาวรหรืออย่างไร ถ้าบอกว่าปลูกป่าถาวรชาวบ้านคงไม่ปลูกและดูแลมานานถึง 20 กว่าปี ถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ นิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร
นายชาตรี คันทะวงศ์ ทนายความอาสา ของจังหวัดแพร่ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นชัดเจนว่า รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งถ้าดูเจตนาของการปลูกไม้สักถ้าบอกกับชาวบ้านว่าเป็นสวนป่าเศรษฐกิจ ก็ต้องให้ชาวบ้านตัดได้ แต่ถ้าไม่ให้ตัดและพยายามจะฮุบที่ดินชาวบ้านไปเป็นที่ดินของรัฐ หรือที่ดินที่ชาวบ้านทำกินเป็นที่ดินถือครองที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ก็ควรปล่อยให้เขาทำกินไม่ควรไปหลอกปลูกไม้สักแล้วไม่ให้ตัด เรื่องนี้ถ้าดูเจตนาแล้ว ทางการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความจริงแล้วเรื่องนี้ควรใช้อำนาจทางปกครองรับแก้ปัญหาให้ชาวบ้านก่อนที่จะบานปลายหนักขึ้น
พระยงยุทธ ทีปโก เจ้าอาวาสวัดปางงุ้น ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดินที่ถูกส่งเสริมปลูกไม้สักไปแล้ว ทางการอาจผลักดันให้ชาวบ้านขายให้กับนายทุน กลายเป็นป่าเศรษฐกิจผืนใหญ่ แล้วไล่ชาวบ้านออก ขณะนี้เชื่อว่าเป็นกลไกของรัฐที่ทำให้ชาวบ้านเริ่มขายสิทธิ์ที่ดินเพราะทำอะไรไม่ได้ ติดต้นสัก ในที่สุดชาวบ้านก็จะไม่มีที่ดินทำกิน เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ถ้ารัฐบาลมองเห็นปัญหา ช่วงนี้ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังมีอำนาจยังสามารถใช้มาตรา 44 ได้ ทำไมไม่ใช้อำนาจดังกล่าวเข้ามาจัดระบบให้ถูกต้องเพื่อให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และชาวบ้านได้มีทางออกก่อนที่จะเกิดการฟ้องร้องต่อไป
ที่มา : มติชนออนไลน์