เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2561 ที่ห้องประชุมเทียน อัชกุล พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จับมือ กรมราชทัณฑ์ สถานประกอบการ คัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี ผู้ที่กำลังจะพ้นโทษ ฝึกอาชีพหรือประกอบอาชีพอิสระตามความต้องการ ในโครงการ “โรงงานในเรือนจำ” โดยตั้งเป้าปี 2561 ผู้ต้องขัง 37,000 คนมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ คืนคนดีสู่สังคม
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบัน ในประเทศไทยมีเรือนจำทั้งหมด 143 แห่งทั่วประเทศ มีผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ 346,470 คน ซึ่งกว่า 70% ของผู้ต้องขังเกี่ยวโยงกับยาเสพติด เมื่อถึงเวลาพ้นโทษ โอกาสที่คนเหล่านี้จะหวนกลับเข้ามาสู่ยาเสพติดมีมาก
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- เริ่ม พ.ค. 67 คปภ.-ธุรกิจประกัน แชร์ข้อมูล “ตัวแทนนายหน้าโกง” กลุ่มเสี่ยง 1.8 พันราย
“เราได้มีการคิด เเละหากิจกรรม งาน อาชีพ ซึ่งผู้ต้องขังเหล่านี้สามารถเป็นกำลังแรงงานและมีศักยภาพในการทำงานสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการได้ เเต่กลับไม่เข้าถึงเเหล่งในการทำงาน รัฐบาลจึงมีนโยบายยกระดับศักยภาพ ทักษะ ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ต้องขังได้รับโอกาส” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเเละว่า
สำหรับโครงการ “โรงงานในเรือนจำ” จัดทำขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้พัฒนาตนเอง เพื่อให้มีอาชีพ มีรายได้ และส่งเสริมคนดีสู่สังคม หากผู้ต้องขังมีโอกาสในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจะเดินกลับเส้นทางเก่าน้อยลง โดยเป้าหมายของโครงการ จะคัดเลือกผู้ต้องขังจำนวน 37,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้พ้นโทษ 10,000 คน และนักโทษชั้นดี 27,000 คน
ซึ่งจะฝึกทักษะและฝึกอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพ้นโทษ โดยจะสอบถามความต้องการของผู้ต้องขังถึงความต้องการที่จะทำงานในสถานประกอบการหรือการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อจะได้ดำเนินการตามความสมัครใจ เเละฝึกอบรม ทักษะ ฝึกอาชีพ ที่สามารถนำชิ้นงานเข้ามาทำภายในเรือนจำได้ เมื่อพ้นโทษออกไปเเล้วจะสามารถมีอาชีพเเละสร้างรายได้ให้กับตนเองได้
ทั้งนี้โครงการ”โรงงานในเรือนจำ” เป็นความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐระหว่างกระทรวงแรงงาน กรมราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการหารือมีสถานประกอบการตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 40 แห่ง โดยกระทรวงแรงงานจะบูรณาการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ป.ป.ส. และกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดี เป็นผู้มีวินัย และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ความเชื่อมั่นและสอดคล้องตามความต้องการของผู้ประกอบการ
สำหรับลักษณะงานที่จะให้ผู้ต้องขังทำนั้น อาทิ ช่างทำทอง เย็บรองเท้าขุดลอกท่อ ตัดหญ้า ทาสีอาคาร ทำความสะอาดตึกสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ต้องขังมีรายได้เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพหลังพ้นโทษ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในสถานประกอบการบางสาขาชีพ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคม ที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน หารือในรายละเอียดกับกรมราชทัณฑ์ ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจนให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนเมษายนนี้ จากนั้นจะลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อทำให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคมอีกด้วย